โปรแกรมยกหน้าดารา ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก ดีอย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

โปรแกรมยกหน้าดารา ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก ดีอย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

ใบหน้าที่เรียวและกระชับ ต้องอาศัยการดูแลจากโครงสร้างของใบหน้า เพราะการยกหน้าให้สวยอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่ง แต่คือศิลปะที่ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในชั้นผิว โครงสร้างใบหน้า และการเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะกับแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง

Kalm Clinic จึงได้พัฒนาโปรแกรมยกหน้าดาราขึ้นมา ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าของเรา “ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก”

โปรแกรมยกหน้าดาราคืออะไร

โปรแกรมยกหน้าดารา The First & Original by Kalm Clinic เป็นโปรแกรมที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน โดยอิงจากทักษะ ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ของคุณหมอที่ได้เดินทางไปศึกษางาน ดูเทรนด์ความงาม และเทคนิคใหม่ๆ จากหลากหลายประเทศ เพื่อนำมาผสานกับความเข้าใจในโครงสร้างผิวของคนไทย จนเกิดเป็นโปรแกรมเฉพาะของคลินิก

โดยโปรแกรมยกหน้าดารา จะรวมหลายหัตถการที่สามารถทำร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องของการยกกระชับ ฟื้นฟู เติมเต็ม หรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพราะความสวยไม่ใช่เรื่องของโชค แต่คือการออกแบบอย่างมีศิลปะและความเข้าใจ

จุดเด่นของโปรแกรมยกหน้าดารา

เนื่องจากโปรแกรมยกหน้าดาราประกอบไปด้วยหลายหัตถการ แต่ละหัตถการจะมีจุดเด่นและข้อดีที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. Oligio ลดแก้ม ลดเหนียง จัดการชั้นไขมันด้วยคลื่น RF
เทคโนโลยี Monopolar RF ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวตื้นได้อย่างนุ่มนวล ให้ความรู้สึกสบาย ไม่เจ็บ และคลื่นความร้อนจากตัวเครื่องสามารถเข้าไปลึกถึงชั้นไขมัน เพื่อช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนังได้อีกด้วย เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย และมีแก้มหรือเหนียงเยอะ

2. Ultraformer III ยกกระชับชั้น SMAS
หัตถการที่ได้รับความนิยม ด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ (Micro & Macro Focused Ultrasound) ที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้สำหรับการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้หน้ายกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาแก้มหย่อน กรอบหน้าไม่ชัด

3. Filler ฟิลเลอร์ยกหน้า เสริมโครงสร้าง และเพิ่มมิติให้ใบหน้า
การเติมเต็มผิวหรือยกหน้าด้วยฟิลเลอร์ (Filler) ในโปรแกรมยกหน้าดาราจะช่วยแก้ปัญหาใบหน้าแลดูหย่อนคล้อย หน้าตอบ หน้าล้า ร่องลึก ซึ่งฟิลเลอร์จะเข้ามาช่วยพยุงเส้นเอ็น Retaining Ligament เพื่อให้โครงสร้างผิวกลับมากระชับได้ โดยคุณหมอของ Kalm Clinic เน้นการปรับโครงสร้างหน้าให้ดูละมุน เป็นธรรมชาติ ไม่โป๊ะ และเน้นผลลัพธ์ที่ลูกค้าพึงพอใจ

4. Profhilo ฟื้นฟูผิวในระดับเซลล์
นวัตกรรม Hya เข้มข้นที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และความชุ่มชื้นในผิว เรียกได้ว่าเป็นสารฟื้นฟูคุณภาพของโครงสร้างผิวในทุกชั้น เหมาะกับผู้ที่ผิวดูโทรม ผิวขาดน้ำ หรือเริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ ช่วยให้ผิวแน่นกระชับขึ้น ฉ่ำวาวขึ้น

5. Sculptra ยกกระชับจากข้างในด้วยพลังของคอลลาเจน
ตัวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ทำงานลึกถึงชั้นลึกสุดของผิว ทำให้โครงสร้างผิวมีความยกกระชับอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เห็นผลลัพธ์ในระยะยาว เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูใบหน้าในแบบที่ดูไม่เปลี่ยนไปทันที แต่เปลี่ยนอย่างละมุน และผิวดูตึงกระชับไปเรื่อยๆ

โปรแกรมยกหน้าดาราเหมาะกับใคร

โปรแกรมยกหน้าดาราเหมาะกับ

  1. ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ
  2. ผู้ที่มีแก้มหรือเหนียงเยอะ และอยากลดไขมันส่วนเกินเหล่านี้
  3. ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด
  4. ผู้ที่ต้องการให้ใบหน้ามีความยก หรือ Lifting ขึ้น
  5. ผู้ที่มีคุณภาพผิวไม่สมดุล ผิวแห้งขาดน้ำ แลดูไม่สดใส
  6. ผู้ที่ต้องการเพิ่มความแน่น และอิ่มฟูให้กับโครงสร้างผิว

ทำไมต้อง “โปรแกรมยกหน้าดารา” ที่ Kalm Clinic?

ทุกการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ทุกขั้นตอนการทำหัตถการ และทุกเทคนิคที่ Kalm Clinic เลือกใช้ในโปรแกรมยกหน้าดารา ผ่านการคิด วิเคราะห์ และประเมินอย่างละเอียด โดยการทำความเข้าใจในโครงสร้างใบหน้าเฉพาะบุคคล หรือ ดูแลแบบบ Case by Case เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

1. โปรแกรมยกหน้าดาราออกแบบโดยคุณหมอผู้มีประสบการณ์
คุณหมอของ Kalm Clinic เดินทางไปเข้าร่วมงานประชุมทางการแพทย์ และ Workshop เชิงลึกในหลายประเทศ เพื่อศึกษาเทรนด์ เทคนิค และเครื่องมือใหม่ๆ จากแพทย์ระดับโลก แล้วนำมาปรับให้เหมาะกับปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล จนกลายมาเป็น “โปรแกรมยกหน้าดารา”

2. รวมหลายหัตถการสุดจึ้งไว้ในครั้งเดียว
โปรแกรมยกหน้าดาราไม่ได้เน้นแค่ยกหน้า แต่ดูแลครอบคลุมหลายปัญหา ทั้งยกกระชับผิว เติมเต็ม ฟื้นฟูความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจน ดูแลผิวในชั้นตื้นและชั้นลึก ด้วย Oligio, Ultraformer III, Filler, Profhilo และ Sculptra ในสัดส่วนที่ออกแบบเฉพาะบุคคล

3. เน้นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ดูดีอย่างมั่นใจในทุกมุม
ทุกๆ การทำหัตถการ จะเน้นทั้งผลลัพธ์ที่เหมาะสม และผลลัพธ์ที่ลูกค้าต้องการ ให้มั่นใจว่า Kalm Clinic เปรียบเสมือนเพื่อนที่อยากมาปรึกษาปัญหา และหาวิธีแก้ไขร่วมกันอย่างดีที่สุด

4. ดูแลให้ปลอดภัยด้วยทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์
ทุกเคสดูแลโดยแพทย์ผู้ผ่านการเทรนนิ่งจากบริษัทโดยตรง และมีประสบการณ์หลายเคส

5. มาตรฐานระดับคลินิกพรีเมียม ที่ให้ความรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่มา
Kalm Clinic ให้ความสำคัญทั้งเรื่องผลลัพธ์ และความรู้สึกของคนไข้ ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น ผ่อนคลาย และการดูแลที่เป็นส่วนตัวในทุกขั้นตอน เพราะเราบริการด้วยใจ ไม่ใช่แค่รักษา

โปรแกรมยกหน้าดารา รีวิว

รีวิวโปรแกรมยกหน้าดารา

ราคาโปรแกรมยกหน้าดารา

ราคาโปรแกรมยกหน้าดารา The First & Original by Kalm Clinic มีดังนี้

  1. Ultraformer III 400 Shots + Oligio 200 shots ราคา 15,900.-
  2. Ultraformer III 400 Shots + Oligio 400 shots ราคา 25,900.-
  3. Ultraformer III 600 Shots + Oligio 600 Shots ราคา 40,900.-
  4. และโปรโมชันอื่นๆ หน้าเพจ

สรุป

โปรแกรมยกหน้าดารา คือโปรแกรมที่จะช่วยให้ใบหน้าของเรา “ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก” โดยเกิดจากการรวมตัวกันของหัตถการที่เน้นการฟื้นฟูผิว ยกกระชับ เติมเต็ม กระตุ้นคอลลาเจน และดูแลจากโครงสร้างภายใน เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีแก้มและเหนียง กรอบหน้าไม่ชัด คุณภาพผิวไม่สมดุล หรือต้องการให้ใบหน้ามีความยกกระชับขึ้น

ขอบตาคล้ำ ใต้ตาลึก มีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร ควรทำอย่างไรดี ?

ขอบตาคล้ำ ใต้ตาลึก มีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร ควรทำอย่างไรดี ?

ปัญหาขอบตาคล้ำ ขอบตาดำ หรือใต้ตาลึก เป็นสิ่งที่พบได้ในทุกช่วงอายุ ทำให้ใบหน้าดูไม่สดชื่น อ่อนเพลีย ดูมีอายุ ส่วนใหญ่ผู้คนอาจจะคิดว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ความจริงแล้วสาเหตุของใต้ตาคล้ำสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งปัจจุบันมีหลายวิธีที่จะทำให้ใต้ตาคล้ำกลับมาสดใสได้ ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล

ใต้ตาคล้ำเกิดจากอะไร?

ปัญหาใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ (Dark Circles) คือการที่ผิวหนังรอบดวงตามีสีที่เข้มหรือคล้ำขึ้น อันเนื่องมาจากหลายปัจจัย ดังนี้

  1. ใต้ตาคล้ำจากพันธุกรรม โครงสร้างผิวหนังบริเวณใต้ตาที่บางจากกรรมพันธุ์ ส่งผลให้เห็นเส้นเลือดดำที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ชัดเจน จนปรากฏเป็นรอยคล้ำที่มองเห็นได้ชัดขึ้น
  2. ใต้ตาคล้ำจากภูมิแพ้ อาการคันรอบดวงตา หรือการขยี้ตา จากโรคภูมิแพ้สามารถทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ตาแตกและเกิดรอยคล้ำ ขอบตาดำได้
  3. ใต้ตาคล้ำจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับไม่สนิทหรือนอนน้อยกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำใต้ตา หรือใต้ตาลึกได้
  4. ใต้ตาคล้ำจากอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังจะลดลง ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและมีความบางลง อีกทั้งไขมันบริเวณใต้ตาก็ลดลงเช่นกัน ส่งผลให้เกิดเป็นร่องลึกและเห็นความคล้ำชัดเจนขึ้น
  5. ใต้ตาคล้ำจากแสงแดด การสัมผัสแสงแดดโดยไม่มีการป้องกันจะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้ขอบตามีความคล้ำขึ้นได้
  6. ใต้ตาคล้ำจากการขาดน้ำ เมื่อมีภาวะร่างกายขาดน้ำ อาจทำให้ผิวหนังดูหมองคล้ำและเห็นริ้วรอยรอบดวงตาชัดขึ้น
  7. ใต้ตาคล้ำจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและถี่เกินไป สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวหนังโดยรวม และผิวหนังบริเวณใต้ตาก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา

วิธีป้องกันขอบตาดำ

วิธีป้องกันขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ เพื่อให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดมีหลากหลายวิธี ดังนี้

  1. การพักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน และพยายามเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา
  2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาระดับความชุ่มชื้นของร่างกายด้วยการดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน
  3. ปกป้องผิวจากแสงแดด โดยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงบริเวณรอบดวงตา และสวมแว่นกันแดดเมื่อต้องออกแดด
  4. หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หากมีอาการคันตา ควรใช้น้ำตาเทียมหรือปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษา
  5. ดูแลสุขภาพโดยรวม เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  6. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตา เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนรอยคล้ำ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเป็นประจำ
  7. ใช้เมคอัพปกปิดรอยคล้ำใต้ตา

วิธีแก้ปัญหาขอบตาคล้ำ ใต้ตาลึก ฉบับเร่งด่วน

นอกจากการดูแลหรือป้องกันตามวิธีข้างต้นแล้ว เรายังมีการแก้ไขปัญหาขอบตาคล้ำ ใต้ตาลึก ฉบับเร่งด่วน ซึ่งสามารถทำได้โดยวิธีทางการแพทย์ ดังนี้

1. โปรแกรมฉีดเมโส
การฉีดเมโส (Mesotherapy) มีส่วนผสมของวิตามินและสารบำรุงผิวต่างๆ ช่วยให้ผิวใต้ตากลับมาแข็งแรงและแลดูสว่างขึ้นได้ไวกว่าการทาครีมบำรุงทั่วไป

2. โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการแก้ไขปัญหาร่องใต้ตาและขอบตาคล้ำที่เกิดจากการยุบตัวของไขมัน การฉีดฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปเติมเต็มบริเวณใต้ตาจะช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูขึ้น ร่องลึกดูตื้นขึ้น และเงาคล้ำดูลดลง ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานตั้งแต่ 6-24 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการดูแลหลังฉีด เช่น

  • Teoxane รุ่น Redensity 2 เป็นฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดใต้ตาโดยเฉพาะ เพื่อแก้ไขปัญหาร่องใต้ตาลึกหรือขอบตาคล้ำ เนื้อฟิลเลอร์มีความเนียนไปกับผิวได้ดี ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-24 เดือน
  • Restylane รุ่น Vital Light เป็นรุ่นใช้เก็บรายละเอียดของผิวชั้นตื้นได้ดีมาก จึงเหมาะแก่การนำมาฉีดบริเวณใต้ตา ผลลัพธ์ที่ได้จะมีความเนียนไปกับผิว ไม่เป็นลำเป็นก้อน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • Yvoire กล่องเขียวรุ่น Classic Plus เหมาะสำหรับการเติมเต็มผิวชั้นบน เพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยเล็กๆ และเพิ่มความชุ่มชื้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน
  • Belotero Revive ฟิลเลอร์งานผิวที่สามารถฉีดได้ทั่วหน้า และบริเวณรอบดวงตา ส่งผลให้ผิวโกลว์เล่นแสง อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

3. โปรแกรมฉีด Juvelook
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้ในการฟื้นฟูผิวบริเวณใต้ตา เพราะ Juvelook เป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบหลักคือ PDLLA (Poly D,L-Lactic Acid) และ HA (Hyaluronic Acid) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาเฟิร์มกระชับขึ้น และความคล้ำใต้ตาดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ

4. การทำเลเซอร์ (Laser)
เพื่อปรับสภาพผิวรอบดวงตา การรักษาด้วยเลเซอร์บางชนิดสามารถช่วยลดรอยคล้ำใต้ตา ที่เกิดจากเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไป หรือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดความหย่อนคล้อยและร่องลึกได้

สรุป ควรเลือกวิธีไหนดี ?

ปัญหาขอบตาคล้ำ ขอบตาดำ และใต้ตาลึกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและบรรเทาปัญหาเบื้องต้น แต่สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจนขึ้น หัตถการทางการแพทย์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

ซึ่งการเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาขอบตาคล้ำและใต้ตาลึกนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหา ความรุนแรงของปัญหา และความต้องการของแต่ละบุคคล การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะช่วยให้เราได้รับคำแนะนำและวิธีแก้ไขทีมีประสิทธิภาพที่สุด

Juvelook คืออะไร? เหมาะกับใคร? ฟื้นฟูผิวกระตุ้นคอลลาเจนแบบไหน?

Juvelook คืออะไร? เหมาะกับใคร? ฟื้นฟูผิวกระตุ้นคอลลาเจนแบบไหน?

หัตถการงานผิวหรือการฟื้นฟูผิวเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน และ Juvelook ก็เป็นงานผิวตัวใหม่ส่งตรงจากเกาหลี ประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องความฉ่ำและชุ่มชื้นของผิว อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบ 2 in 1 เหมาะสำหรับผู้ต้องการดูแลผิวแบบเร่งด่วน

Juvelook คืออะไร

Juvelook คือ Hybrid Biostimulator เป็นตัวกระตุ้นคอลลาเจนโดยมีส่วนผสมของ PDLLA (Poly D,L-Lactic Acid) และ HA (Hyaluronic Acid) ทำให้ Juvelook มีจุดเด่นในด้านการเติมเต็มหลังฉีดทันที และสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในระยะยาวได้ ส่งผลให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องพักฟิื้น

Juvelook ช่วยอะไร

การฉีด Juvelook เป็นการฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาสภาพผิวได้หลายอย่าง ดังนี้

  1. การฉีด Juvelook ช่วยให้ริ้วรอยขนาดเล็กแลดูจางลง
  2. การฉีด Juvelook ช่วยเติมเต็มร่องใต้ตาและฟื้นฟูริ้วรอยร่องลึกต่างๆ ให้ดูตื้นขึ้น
  3. การฉีด Juvelook ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว เพื่อให้ผิวมีความกระชับขึ้น
  4. การฉีด Juvelook ช่วยให้รูขุมขนกระชับ เรียบเนียนขึ้นได้
  5. การฉีด Juvelook เป็นการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  6. การฉีด Juvelook ช่วยลดปัญหารอยสิวที่เกิดขึ้น
  7. การฉีด Juvelook ช่วยฟื้นฟูปัญหาผิวที่ถูกทำร้ายจากมลภาวะต่างๆ
  8. การฉีด Juvelook ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น

Juvelook เหมาะกับใคร

Juvelook เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดังนี้

  1. ผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา ร่องแก้ม หน้าผาก มุมปาก และอื่นๆ
  2. ผู้ที่ต้องการการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว
  3. ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดความกระชับ รูขุมขนกว้างเล็กน้อย
  4. ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งขาดน้ำ ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  5. ผู้ที่มีจุดด่างดำ และรอยต่างๆ ที่เกิดจากสิว
  6. ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้ดูเนียนใสขึ้น
  7. ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดีขึ้น
  8. ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว

Juvelook ฉีดจุดไหนได้บ้าง

การฉีด Juvelook สามารถทำได้หลายตำแหน่ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีปัญหา เช่น

  1. ฉีดทั่วใบหน้า เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวมีความกระชับ อิ่มฟู
  2. ฉีดบริเวณใต้ตา เพื่อช่วยให้ใต้ตาสว่างขึ้น ลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา
  3. ฉีดบริเวณตีนกาหรือร่องน้ำตา เพื่อให้ผิวมีความเรียบเนียน ริ้วรอยดูจางลง
  4. ฉีดบริเวณหน้าแก้ม เพื่อเพิ่มความแน่นของรูขุมขนให้กระชับขึ้น
  5. ฉีดบริเวณที่มีปัญหาหลุมสิว เนื่องจากมีการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินเพื่อฟื้นฟูหลุมสิว
  6. ฉีดบริเวณหน้าผาก ให้ผิวมีความกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้น
  7. ฉีดบริเวณหน้าเฉพาะจุด ตามที่แพทย์ประเมิน

Juvelook กี่ครั้งเห็นผล

การทำ Juvelook ให้เห็นผลจะขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล

  1. ในเคสที่มีปัญหาริ้วรอยเล็กๆ ผิวแห้งขาดน้ำ หรือใต้ตาคล้ำ สามารถใช้ Juvelook 1 ขวด หรือการฉีด 1 ครั้งเพื่อแก้ปัญหาได้
  2. สำหรับเคสที่มีริ้วรอยชัดเจน หลุมสิว รูขุมขนกว้าง และปัญหาผิวอื่นๆ สามารถใช้ Juvelook 2-3 ขวด เพื่อแก้ปัญหา โดยการฉีดครั้งละ 1 ขวด ต่อเนื่องกัน 2-3 ครั้ง

Juvelook อยู่ได้กี่เดือน

การคงอยู่ของผลลัพธ์การทำ Juvelook จะเริ่มกระตุ้นคอลลาเจนไปเรื่อยๆ ซึ่งจะแบ่งได้ตามระยะเวลา ดังนี้

  1. หลังทำทันที Juvelook จะช่วยเติมเต็มและเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว เพราะมีอนุภาคของ HA สำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ หลังฉีดจะดูสดใสขึ้น
  2. หลังทำ 2-4 สัปดาห์ สารของ PDLLA จะเริ่มกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว เพิ่มความอิ่มฟู ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
  3. หลังทำ 6 เดือน เมื่อคอลลาเจนในผิวถูกกระตุ้นและมีปริมาณมากขึ้น จะช่วยให้รูขุมขนดูกระชับ ในกรณีของผู้มีปัญหาหลุมสิวจะช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน

การดูแลหลังทำ Juvelook  

หลังฉีด Juvelook มีวิธีปฏิบัติดังนี้

  1. 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีด ควรงดการแต่งหน้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  2. 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อน
  3. งดกด นวด หรือถู บริเวณที่ทำหัตถการ เพื่อไม่ให้ตัวยาที่ฉีดไปมีการเคลื่อนตัวไปยังจุดอื่นที่ไม่ต้องการ
  4. สามารถทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงๆ เพื่อเสริมปราการให้ผิวได้

ราคา Juvelook แพงไหม?

ราคา Juvelook ที่ Kalm Clinic มีดังนี้

  1. Juvelook 4CC 9,999.-
  2. ซื้อ 2 เซต (8CC) รับฟรี 2CC

สรุป

Juvelook เป็นตัวกระตุ้นคอลลาเจนประเภท Hybrid Biostimulator ที่มีทั้ง HA และ PDLLA ในตัว ช่วยให้ผิวมีความอิ่มฟู ดูเต็มขึ้นหลังจากการฉีด และสามารถกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินจากภายในไปเรื่อยๆ ช่วยให้ผิวมีความกระชับ กระจ่างใสขึ้นจากเดิม ริ้วรอยต่างๆ ก็ดูลดลง

Sculptra และ Profhilo ตัวกระตุ้นคอลลาเจนต่างกันอย่างไร ทำคู่กันดีไหม

Sculptra และ Profhilo ตัวกระตุ้นคอลลาเจนต่างกันอย่างไร ทำคู่กันดีไหม

การฉีด Sculptra เป็นที่นิยมกันทั่วโลก เนื่องจากตัวยาสามารถกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิาภาพ แต่ปัจจุบันมีน้องใหม่อย่าง Profhilo เข้ามาเสริม ทำให้ผู้คนเปรียบเทียบทั้ง 2 ตัวมากขึ้น ในบทความนี้จะมาทุกคนมาทำความรู้จักตัวกระตุ้นคอลลาเจนอย่าง Sculptra และ Profhilo ว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร หากทำคู่กันแล้วผลลัพธ์จะน่าพอใจหรือไม่

Sculptra และ Profhilo คืออะไร

Sculptra

Sculptra เป็น Biostimulator ตัวแรกของโลก ที่มีส่วนประกอบเป็น PLLA (Poly-L-Lactic acid) ในรูปแบบผง ต้องนำมาผสมกับ Sterile Water ให้อยู่ในรูปแบบน้ำจำนวน 10CC สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากใต้โครงสร้างผิวไปเรื่อยๆ ส่งผลให้คุณภาพผิวดีขึ้น ยกกระชับ เต่งตึง และอิ่มฟู เนื่องจากมีคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า 25 เดือน

Profhilo

Profhilo เป็น Bio-Remodelling หรือสารฟื้นฟูคุณภาพของโครงสร้างผิวในทุกชั้น ในรูปแบบตัวยา 2CC เป็น HA ชนิดพิเศษ ช่วยปรับโครงสร้างและฟื้นฟูผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รักษาความหย่อนคล้อยของผิว ทำให้ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยต่างๆ ก็ดูจางลง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และซ่อมแซมผิวด้านบน เริ่มเห็นผลในช่วง 1 เดือน และจะเห็นผลเต็มที่ในระยะ 2 เดือน อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

Sculptra และ Profhilo ช่วยแก้ปัญหาอะไร

Sculptra
Sculptra ช่วยฟื้นฟูผิวหนังชั้นลึก เพื่อปรับโครงสร้างให้ผิวกลับมาแข็งแรง ดังนี้

  1. เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวมีความอิ่มฟู
  2. ยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย ทำให้ผิวเด้ง เต่งตึง 
  3. รูขุมขนเล็กลง ผิวเนียนขึ้น
  4. เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว และลดการเกิดริ้วรอย
  5. ช่วยให้ผิวดูอ่อนวัยขึ้น
  6. เพิ่มวอลลุ่มให้ผิว
Profhilo
การฉีด Profhilo จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างทุกชั้นผิว ทำให้เห็นผลดังนี้

  1. ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ
  2. ปรับปรุงความยืดหยุ่นและความกระชับของผิว
  3. ฟื้นฟูรอยแผลเป็นจากสิวหรือการบาดเจ็บ
  4. ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีขึ้น
  5. เพิ่มความชุ่มชื้น 

Sculptra และ Profhilo ทำคู่กันดีอย่างไร

เนื่องจากทั้ง 2 ตัวยามีการทำงานคนละแบบกัน Sculptra เน้นที่โครงสร้างผิวชั้นลึก เพิ่มความหนาแน่นให้ผิว ส่วน Profhilo สามารถฉีดในผิวชั้นตื้นได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในทุกชั้นผิว รวมถึงการเพิ่มความชุ่มชื้น หากฉีดคู่กันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษามากขึ้น ทำให้ผิวมีวอลลุ่มมากขึ้น อีกทั้งได้คุณภาพผิวที่ดูมีสุขภาพดีขึ้น เพราะ Profhilo จะช่วยเติมเต็มในส่วนที่ Sculptra ไม่สามารถนำตัวยาเข้าไปได้

หรือเหมาะกับผู้ที่เคยฉีด Sculptra ครบตามปริมาณที่แนะนำแล้ว ผิวมีความกระชับและแน่นเด้ง สามารถฉีด Profhilo เข้าไปเพิ่มได้ หากต้องการฟื้นฟูผิวอย่างต่อเนื่อง

สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง

Sculptra ส่วนใหญ่นิยมฉีดบริเวณด้านข้างของใบหน้า เพื่อให้มีความยกกระชับขึ้น พร้อมเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิวในระยะยาว

  1. บริเวณขมับ เพื่อแก้ปัญหาขมับตอบ ยกหางตาและคิ้วให้กระชับ ดูสดใสขึ้น
  2. บริเวณหน้าแก้ม เพื่อให้ผิวมีแน่น อิ่มฟู และเต่งตึงขึ้น พร้อมลดริ้วรอยร่องลึกต่างๆ  
  3. บริเวณกรอบหน้า เพื่อกระชับผิวบริเวณกรอบหน้า ทำให้มีความคมชัดและไม่หย่อนคล้อย

Profhilo สามารถฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ ดังนี้

  1. บริเวณใบหน้า เป็นจุดที่นิยมฉีดมากที่สุด ซึ่งแพทย์จะทำการฉีด Profhiolo บริเวณโหนกแก้ม ร่องแก้ม ข้างจมูก มุมปาก และขากรรไกรล่าง โดยจิ้มแค่ 5 จุดต่อใบหน้า 1 ข้าง 
  2. บริเวณลำคอ เมื่อผิวเกิดการเสื่อมคอลลาเจน จะทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ การฉีดจุดนี้จะทำให้ริ้วรอยเล็กๆ บริเวณลำคอดูจางลง

Sculptra และ Profhilo ต่างกันอย่างไร

ความแตกต่างของ Sculptra และ Profhilo ที่เห็นได้ชัดเจนคือส่วนผสม รูปแบบของตัวยา และการทำงาน แบ่งได้ตามหัวข้อดังต่อไปนี้

1. ส่วนประกอบ
Sculptra: PLLA (Poly-L-Lactic acid) สารที่สังเคราะห์จากพืช นิยมใช้ในแวดวงการแพทย์ มีความปลอดภัยสูง
Profhilo: HA (Hyaluronic Acid) ความเข้มข้นสูง เกิดจากการเชื่อมพันธะ มีความบริสุทธิ์สูง

2. การทำงาน
Sculptra: กระตุ้นคอลลาเจนบริเวณผิวชั้นลึก เน้นที่โครงสร้างภายใน
Profhilo: กระตุ้นคอลลาเจนทุกชั้นผิว

3. การแก้ไขปัญหาผิว
Sculptra: แก้ปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ให้ผิวกลับมาเตงตึง ยกกระชับ เพิ่มความแน่นให้แก่ผิว
Profhilo: เพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ

4. จำนวนครั้งที่ควรฉีด
Sculptra: ควรฉีดตามปริมาณที่แพทย์แนะนำ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอายุของแต่ละบุคคล เช่น อายุ 30 ปี ควรฉีด 2-3 ขวด, อายุ 40 ปี ควรฉีด 3-4 ขวด
Profhilo: ควรฉีดอย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป เพื่อการฟื้นฟูผิวอย่างต่อเนื่อง

5. ระยะเวลาของผลลัพธ์
Sculptra: เริ่มเห็นผลในระยะ 3 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นร่างกายจะกระตุ้นคอลลาเจนไปเรื่อยๆ อย่างลงตัว เห็นผลชัดเจนในช่วง 3 เดือน และอยู่ได้นานกว่า 25 เดือน *ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองและสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
Profhilo: เริ่มเห็นผลในช่วง 1 เดือนแรกหลังฉีด และเห็นผลชัดเจนในระยะ 2 เดือน อยู่ได้นาน 6-12 เดือน *ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองและสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคล

6. ผลข้างเคียงที่พบบ่อย และไม่อันตราย
Sculptra: อาจมีตุ่มเล็กๆ หรืออาการบวมบริเวณที่ฉีด สามารถหายเองได้
Profhilo: มีรอยแดงหลังจากฉีด สามารถหายเองได้

สรุป

การทำ Sculptra และ Profhilo คู่กัน ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวทุกชั้น ไม่ว่าจะเป็นหารเพิ่มความหนาแน่น กระชับ หรือการเพิ่มความชุ่มชื้น ลดความหย่อนคล้อย ลดริ้วรอย เนื่องจากการทำงานของทั้งคู่เป็นคนละแบบจึงสามารถฉีดร่วมกันได้ ซึ่งการเห็นผลของ Sculptra จะอยู่ได้นานกว่า 25 เดือน และ Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

Oligio กับ Thermage ต่างกันอย่างไร ยกกระชับผิวเครื่องไหนดี?

Oligio กับ Thermage ต่างกันอย่างไร ยกกระชับผิวเครื่องไหนดี?

ปัจจุบันหัตถการเกี่ยวกับการยกกระชับผิวมีให้เราเลือกมากมาย ทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่าจะเลือกตัวไหนดี? หรือตัวไหนที่เหมาะกับเรา บทความนี้จะมาอธิบายเครื่องยกกระชับที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกันอย่าง Oligio และ Thermage ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

Oligio กับ Thermage คืออะไร

Oligio และ Thermage เครื่องยกกระชับสลายไขมันที่กำลังเป็นที่นิยม แต่ละเครื่องคืออะไร แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

Oligio

Oligio เป็นเครื่องยกกระชับที่ใช้เทคโนโลยี Monopolar RF ที่สามารถส่งคลื่นวิทยุความถี่สูงที่มีความลึก 3mm. ลงไปยังผิวหนังตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า หนังแท้ไปยังชั้นไขมัน เพื่อกระชับผิวและลดไขมัน โดยผ่านหัว Tips F4.0 ที่สามารถควบคุมการปล่อยพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอ สามารถปรับได้หลายโหมด ได้แก่ โหมดคู่ โหมดเดี่ยว และโหมดอัตโนมัติ ซึ่งพลังงานที่ส่งไปจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความเฟิร์มกระชับขึ้น อีกทั้งพลังงานความร้อนยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินได้

เมื่อทำหัตถการด้วยเครื่องยกกระชับ Oligio ที่พัฒนาโดยบริษัท Wontech จากเกาหลีใต้ จะได้ผลลัพธ์ คือ ใบหน้ายกกระชับ ปรับผิวให้เรียบเนียน รูขุมขนกระชับขึ้น ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ กรอบหน้าชัดขึ้น และลดไขมันส่วนเกิน เป็นต้น

Thermage

Thermage เป็นเครื่องยกกระชับผิวที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง หรือ Monopolar RF ที่ส่งพลังงานไปยังผิวชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมัน เพื่อเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และสลายไขมัน ส่งผลให้คุณภาพผิวดีขึ้น จากใบหน้าที่มีความหย่อนคล้อยและริ้วรอย ให้ดูเฟิร์มกระชับขึ้น และช่วยลดปริมาณไขมันใต้ชั้นผิว พัฒนาโดยบริษัท Solta Medical Inc. สามารถปรับพลังงานให้เหมาะกับผิวได้

จุดเด่นของแต่ละเครื่อง

จุดเด่นของ Oligio

  1. เครื่อง Oligio มีเซนเซอร์จับอุณหภูมิผิวหนัง (Skin Temperature Tracking Sensor) เพื่อตรวจสอบอุณหภูมิที่ถูกปล่อยจากตัวเครื่อง เมื่อร้อนเกินไปจะมีการแจังเตือน เป็นการทำงานร่วมกับ Cryogen Gas ที่ทำหน้าที่ปล่อยความเย็นออกมาเพื่อให้ผิวเกิดการระคายเคืองน้อยที่สุด
  2. เป็นหัตถการที่เกิดความเจ็บน้อย สามารถทำโดยไม่ต้องแปะยาชาได้
  3. ใช้เวลาในการทำหัตถการประมาณ 20-30 นาที หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อตที่เลือกใช้ ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าการทำหัตถการประเภทยกกระชับแบบอื่น
  4. หลังทำ Oligio สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน เพียงแค่หมั่นทาครีมกันแดดเป็นประจำ
  5. สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ

จุดเด่นของ Thermage

  1. เครื่อง Thermage สามารถยกกระชับได้ทุกชั้นผิว 
  2. มีการปล่อยพลังงานอย่างแม่นยำ และสม่ำเสมอ ระยะเวลาทำหัตถการประมาณ 45-60 นาที
  3. ผลลัพธ์ของการทำ Thermage 1 ครั้ง อยู่ได้นาน 1-2 ปี (ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล) ทำให้ไม่จำเป็นต้องทำ Thermage บ่อยๆ เมื่อเทียบกับเครื่องอื่น
  4. หลังทำไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ
  5. เห็นผลทันทีหลังทำ

ความเหมือนของ Oligio กับ Thermage

ความเหมือนกันของเครื่อง Oligio และ Thermage คือใช้เทคโนโลยี Monopolar RF ที่สามารถยิงพลังงานลงลึกถึง 3 ชั้นผิว (ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมัน) เพื่อช่วยยกกระชับผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้คุณภาพโดยรวมดีขึ้น มีความเฟิร์ม และสามารถสบายไขมันส่วนเกินได้ โดยมีหัวยิงสำหรับใบหน้าและรอบดวงตา มีระบบปล่อยความเย็นทำให้ผิวดูผ่อนคลาย มีอาการระคายเคืองน้อย สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ หลังทำเห็นผลทันทีประมาณ 20% ไม่ต้องพักฟื้น

ความต่างของ Oligio กับ Thermage

Thermage กับ Oligio

ความแตกต่างของเครื่อง Oligio และ Thermage คือ

  1. เครื่อง Oligio ผลิตที่ประเทศเกาหลีใต้ ส่วน Thermage ผลิตที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และใช้มานานกว่า Oligio 
  2. ด้วยความที่เครื่อง Oligio เพิ่งผลิตมาได้ไม่นาน ทำให้มีการพัฒนามารุ่นเดียว ต่างจาก Thermage ที่มีมาแล้วหลายรุ่น
  3. ผลลัพธ์ของ Oligio จะอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ส่วน Thermage อยู่ได้ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล
  4. ราคาของ Oligio จะไม่แพงเท่า Thermage แต่ต้องมีการทำหัตถการที่ถี่กว่า
  5. ความเจ็บของการทำ Oligio จะเจ็บน้อยกว่าการทำ Thermage ขึ้นอยู่กับการปรับค่าพลังงาน
  6. Oligio จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลการรักษาที่รวดเร็ว สามารถทำซ้ำได้บ่อยๆ ส่วน Thermage เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ในระยะยาว ทนเจ็บหน่อยแต่ไม่ต้องทำการรักษาบ่อย

Oligio และ Thermage ทำบริเวณใดได้บ้าง

สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำคอ รวมถึงบริเวณอื่นๆ ในร่างกาย เช่น ต้นแขน หน้าท้อง เป็นต้น เพื่อกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ลดไขมันส่วนเกิน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

สรุป

Oligio และ Thermage เป็นเครื่องยกกระชับที่ใช้เทคโนโลยี Monopolar RF เหมือนกัน สามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และสลายไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวหลังทำมีความเฟิร์มขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ ดูจางลง ส่วนความแตกต่างของทั้ง 2 เครื่อง  คือระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์และราคา Oligio จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลการรักษาที่รวดเร็ว Thermage เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากทำหัตถการบ่อยๆ

ร้อยไหมจมูกโด่งได้ไม่ง้อศัลย์คืออะไร ? ราคาเท่าไหร่ ? กี่วันเห็นผล ?

ร้อยไหมจมูกโด่งได้ไม่ง้อศัลย์คืออะไร ? ราคาเท่าไหร่ ? กี่วันเห็นผล ?

ร้อยไหมจมูกโด่งได้ไม่ง้อศัลย์คืออะไร? ราคาเท่าไหร่? กี่วันเห็นผล?

ปัจจุบันผู้คนนิยมเสริมจมูกเพื่อการเปลี่ยนแปลงรูปทรงจมูกให้มีความโด่งและมีมิติมากขึ้น แต่สำหรับผู้ที่กลัวการผ่าตัดแต่อยากมีจมูกที่โด่งขึ้น การร้อยไหมจมูกถือเป็นหัตถการที่ตอบโจทย์มาก เพราะใช้เวลาทำน้อย ไม่ต้องพักฟื้นนาน ไม่เป็นอันตราย ซึ่งจะมีข้อควรรู้ก่อนการร้อยไหมจมูก ดังนี้

ร้อยไหมจมูกคือ?

การร้อยไหมจมูก เป็นการร้อยไหมละลายเข้าไปบริเวณสันจมูก ปลายจมูก หรือปีกจมูก โดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ไหมละลายเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว และจมูกดูโด่งขึ้นในที่สุด ผลลัพธ์หลังทำสามารถเห็นได้ชัดเจน แต่เนื่องจากเป็นไหมละลาย ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปไหมจมูกจะค่อยๆ สลายไปตามระยะเวลาที่สมควร

ชนิดของไหมจมูกมีอะไรบ้าง?

การร้อยไหมจมูก

ชนิดของไหมที่นิยมใช้เพื่อร้อยไหมจมูก มีดังนี้

1. ไหม PDO (Polydioxanone) เป็นไหมที่เหมาะกับการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย มีความยืดหยุ่นปานกลาง ไม่เปราะนิ่ม แต่จะละลายได้ไว ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้น้อยกว่าไหมชนิดอื่น
2. ไหม PLLA (Polylactic acid) เป็นเส้นไหมที่มีความแข็งแรง คงทน อยู่ได้นาน แต่อาจเปราะหักง่ายกว่าชนิดอื่น
3. ไหม PCL (Polycaprolactone) เป็นเส้นไหมที่มีส่วนผสมของ PLLA มีความยืดหยุ่นสูงตามการเคลื่อนไหวของใบหน้า ทำให้ไม่เปราะหักง่าย และสามารถคงอยู่ได้นานกว่าไหม PDO และไหม PLLA

ข้อดี-ข้อเสีย ของการร้อยไหมจมูก

ข้อดีข้อเสียร้อยไหมจมูก

การร้อยไหมจมูกนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ดังนี้

ข้อดีของการร้อยไหมจมูก

1. เสริมจมูกโด่งแบบธรรมชาติ
2. หลังทำไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถนอนราบได้ตามปกติ
3. ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
4. อาการบวมช้ำหลังทำสามารถเกิดขึ้นได้ แต่มีความช้ำเพียงเล็กน้อย
5. จมูกโด่งแบบไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรม
6. ปลอดภัย เจ็บน้อย ไม่เป็นอันตราย
7. สามารถละลายไปได้เอง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีการตกค้าง

ข้อเสียของการร้อยไหมจมูก

1. ไม่เหมาะกับคนที่มีฐานจมูกหรือเนื้อจมูกน้อยเกินไป
2. การปรับรูปทรงจมูกสามารถทำได้ แต่อาจจะไม่หลากหลายเท่าศัลยกรรม
3. ผลลัพธ์หลังทำเห็นได้ชัด แต่ไม่สามารถอยู่แบบถาวรได้ เนื่องจากใช้ไหมละลาย

ร้อยไหมจมูกดีไหม ช่วยอะไรได้บ้าง

ร้อยไหมจมูกช่วยอะไร

การร้อยไหมจมูกสามารถทำให้จมูกเราโด่งขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้

1. การร้อยไหมจมูกช่วยปรับสันจมูกให้มีความโด่ง ชัดขึ้น
2. การร้อยไหมจมูกช่วยแก้ปัญหาจมูกที่มีฮัมพ์ให้เรียบเนียนขึ้น
3. การร้อยไหมจมูกช่วยแก้ปัญหาปลายจมูกงุ้ม ปลายจมูกเอียง ทำให้ดูเชิ่ดและมีมิติขึ้น
4. การร้อยไหมจมูกช่วยทำให้ปีกจมูกเล็กและแคบลงได้ เนื่องจากร้อยบริเวณปลายให้มีความเชิ่ดขึ้น

ร้อยไหมจมูกเหมาะกับใครบ้าง

ร้อยไหมจมูกเหมาะกับใคร

การร้อยไหมจมูกโด่งได้ไม่ง้อศัลย์ เหมาะกับ

1. ผู้ที่กลัวการผ่าตัด หรือไม่อยากผ่าตัด แต่อยากให้จมูกโด่งขึ้น
2. ผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาในการพักฟื้น
3. ผู้ที่มีสันจมูกแบน ปีกจมูกกว้าง ปลายจมูกงุ้ม และจมูกมีฮัมพ์ ไม่เป็นทรง

ร้อยไหมจมูกใช้กี่เส้น ?

ร้อยไหมจมูกดั้งโด่งไหม

จำนวนไหมที่ใช้ในการร้อยไหมจมูกจะแตกต่างกันไปตามปัญหาของแต่ละบุคคล ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ โดยส่วนใหญ่จะใช้เส้นไหมจำนวน 3-5 เส้นขึ้นไป ร้อยบริเวณสันจมูก และใช้เส้นไหมจำนวน 2-3 เส้นขึ้นไป ร้อยบริเวณปลายจมูก

การร้อยไหมจมูกกี่วันเห็นผล อยู่ได้นานกี่ปี

ร้อยไหมจมูกอยู่ได้กี่ปี

การร้อยไหมระยะเวลาของผลลัพธ์ที่ได้จะแตกต่างกันไปตามชนิดไหมที่ใช้ ดังนี้

1. ไหม PDO อยู่ได้นาน 4-6 เดือน
2. ไหม PLLA อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
3. ไหม PCL อยู่ได้นาน 18-24 เดือน

ขั้นตอนการร้อยไหมจมูก

ขั้นตอนการร้อยไหมจมูก

การร้อยไหมจมูกโดยคุณหมอที่ Kalm Clinic มีขั้นตอน ดังนี้

1. ทำความสะอาดบริเวณจมูก และแปะยาชา (สามารถเลือกได้ว่าจะทายาชาหรือไม่)
2. ฉีดยาชาบริเวณที่จะร้อยไหมจมูก
3. เริ่มร้อยไหมจมูก โดยการใช้เข็มเปิดและใช้เข็มขนาดเล็กฉีดเส้นไหมเข้าไปใต้ผิวหนัง โดยจะมีรอยเข็มเปิดประมาณ 1-2 จุด และจะหายเองในช่วง 1-2 วัน
4. คุณหมอบีบนวดจมูกให้เป็นทรงตามที่ต้องการ อาจะมีรอยช้ำเล็กน้อย และจะหายเองในช่วง 3-4 วัน

การดูแลตัวเองหลังการร้อยไหมจมูก

ร้อยไหมจมูกมาดูแลตัวเองยังไง

หลังร้อยไหมจมูกวิธีดูแลตัวเอง ดังนี้

1. หลังทำอาจมีอาการบวมช้ำเล็กน้อย สามารถหายเองได้ใน 3-4 วัน หรือสามารถทานยาเพื่อลดอาการปวดและบวมได้
2. งดการแคะ แกะ เกา และกดนวดบริเวณที่ร้อยไหมจมูก
3. 48 ชั่วโมงแรกควรหลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมกลางแจ้งที่จะทำให้หน้าแดง เช่น อบซาวน่า ตากแดด หรือออกกำลังกายอย่างหนัก
4. ช่วง 1-2 สัปดาห์หลังทำ ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทหมักดอง หรืออาหารที่ต้องใช้ความร้อนหนักๆ

ราคาร้อยไหมจมูก

ราคาร้อยไหมจมูกที่ Kalm Clinic มีดังนี้

1. ร้อยไหมจมูก PLLA เส้นละ 2,999.- (ซื้อ 5 แถม 1)
2. ร้อยไหมจมูกสันหรือปลาย (PLLA) ไม่จำกัดเส้น 8,999.- net
3. ร้อยไหมจมูก 4D เส้นละ 9,999.- (2 เส้น 14,999.-)

สรุป

การร้อยไหมจมูก เป็นการใช้เส้นไหมแต่ละชนิดร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวของจมูก เพื่อให้มีความโด่งและชัดขึ้น เหมาะกับคนที่ไม่อยากผ่าตัดเพราะกลัวเจ็บ หรือผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ที่ผาดโผน เมื่อร้อยไหมจูกแล้วจะเห็นผลลัพธ์ได้ในทันที และตัวไหมที่ใช้จะเป็นไหมละลาย เมื่อเวลาผ่านไปเส้นไหมจะละลายไปตามอายุการใช้งาน และไม่มีตกค้าง

โปรแกรมยกหน้าดารา ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก ดีอย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

โปรแกรมยกหน้าดารา ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก ดีอย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

ใบหน้าที่เรียวและกระชับ ต้องอาศัยการดูแลจากโครงสร้างของใบหน้า เพราะการยกหน้าให้สวยอย่างเป็นธรรมชาติ...