Vivace รักษาหลุมสิว กระชับรูขุมขน คืออะไร ?

Vivace รักษาหลุมสิว กระชับรูขุมขน คืออะไร ?

สิว รอยสิว และหลุมสิว ปัญหากวนใจใครหลายๆ คน เพราะเป็นสิ่งที่รักษายากพอสมควร เนื่องจากต้องอาศัยระยะเวลาและความอดทน ซึ่งเทคโนโลยี Micro Needle เป็นนวัตกรรมที่ใช้เพื่อรักษาหลุมสิว และปัญหาผิวที่กล่าวมาได้อย่างตรงจุด โดย Vivace ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องเลเซอร์ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ที่กังวลปัญหาเหล่านั้นได้

Vivace คืออะไร

เครื่องเลเซอร์ Vivace เป็นเทคโนโลยี Fractional Micro Needle RF ที่ใช้สำหรับการรักษาหลุมสิว รูมขุมขนกว้าง และปัญหาผิวไม่เรียบเนียนโดยตรง โดยการส่งพลังงานผ่านเข็มขนาดเล็ก (Micro Needle) ลงไปบนผิวหน้า พร้อมส่งคลื่น RF (Radio Frequency) ไปถึงผิวชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน

และกระตุ้น Hyaluronic Acid ช่วยให้ผิวถูกฟื้นฟู รวมถึงการใช้แสงสีแดงและสีน้ำเงิน (Red & Blue LED) ระหว่างที่ปล่อยเข็มลงไปบนผิวหน้า จะช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และรักษาสิวได้อีกด้วย ซึ่งสามารถปรับระดับความลึกได้ตามปัญหาผิวของแต่ละคน เหมาะกับปัญหาหลุมสิวทุกรูปแบบ

Vivace ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง

สิว รอยสิว และหลุมสิว ปัญหากวนใจใครหลายๆ คน เพราะเป็นสิ่งที่รักษายากพอสมควร เนื่องจากต้องอาศัยระยะเวลาและความอดทน ซึ่งเทคโนโลยี Micro Needle เป็นนวัตกรรมที่ใช้เพื่อรักษาหลุมสิว และปัญหาผิวที่กล่าวมาได้อย่างตรงจุด โดย Vivace ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องเลเซอร์ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ที่กังวลปัญหาเหล่านั้นได้

Vivace ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

การทำ Vivace จะช่วยแก้ปญหาผิว ดังต่อไปนี้

    1. Vivace ช่วยลดสิว และรักษาหลุมสิว (Acne Scars)
    2. Vivace ช่วยรักษารูขุมขนกว้าง (Pore Reduction) ให้มีความกระชับขึ้นจากเดิม
    3. Vivace ช่วยให้ผิวได้รับการฟื้นฟูจากการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน
    4. Vivace ช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ เช่น รอยแผลเป็น รอยแตกลาย และริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้า
    5. Vivace ช่วยให้ผิวที่หย่อนคล้อยกลับมาตึงกระชับ
    6. Vivace ช่วยให้ผิวมีความกระจ่างใสขึ้นจากเดิม

Vivace เหมาะกับใคร

Vivace เหมาะกับใคร

Vivace เหมาะกับ

    1. ผู้ที่ต้องการรักษาปัญหาหลุมสิวทุกรูปแบบ
    2. ผู้ที่ต้องการให้ผิวมีความกระชับขึ้น รูขุมขนเล็กลง
    3. ผู้ที่อยากลดปัญหาริ้วรอยต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนใบหน้า
    4. ผู้ที่อยากให้ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น

Vivace ต้องทำกี่ครั้ง

ทำ Vivace ต้องทำกี่ครั้ง

การทำ Vivace เพื่อให้เห็นผลชัดเจนจะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล ซึ่งควรทำให้ครบ 3 ครั้งขึ้นไป โดยเว้นช่วงทุกๆ 1 เดือนติดต่อกัน แต่หากทำครบ 4 ครั้ง จะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากถึง 74%-91%

ขั้นตอนการทำ Vivace

ขั้นตอนการทำ Vivace ที่ Kalm Clinic มีดังนี้

    1. ปรึกษาแพทย์ก่อนการทำหัตถการ
    2. ทำความสะอาดใบหน้าและแปะยาชาประมาณ 45 นาทีขึ้นไป เพื่อบรรเทาความเจ็บระหว่างทำ
    3. แพทย์เริ่มทำหัตถการ Vivace โดยการเลือกระดับความลึกให้เหมาะสมกับปัญหา โดยการยิงเลเซอร์ประมาณ 30-45 นาที

การดูแลหลังทำ Vivace

การดูแลหลังทำ Vivace

หลังทำ Vivace ควรมีการปฏิบัติตัว ดังนี้

    1. มีรอยแดงจากเข็มประมาณ 3-5 ชั่วโมง หลังทำเสร็จทันที แต่รอยเหล่านี้สามารถหายได้เองแบบค่อยๆ จางลง
    2. 24 ชั่วโมงแรก งดล้างหน้าหรือทำให้ใบหน้ามีความชื้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่จะเกิดขึ้นได้
    3. เมื่อครบ 24 ชั่วโมงหลังทำเสร็จ สามารถล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด หรือเจลล้างหน้าอ่อนๆ ได้
    4. งดถู แกะ และเกา บริเวณที่ทำเลเซอร์
    5. หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หรือบริเวณที่มีแดดจัด ประมาณ 2 สัปดาห์หลังทำเลเซอร์
    6. ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF30 PA+ ขึ้นไปเป็นประจำ

ราคา Vivace

ราคาทำ vivace

ราคา Vivace ที่ Kalm Clinic มีดังนี้

  • Fractional Vivace 1 โหมด แถม Vivace Toning 1 โหมด 5,900.-
  • Fractional Vivace 5 โหมด แถม Vivace Toning 5 โหมด 25,900.-

สรุป

Vivace เป็นเลเซอร์ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิว รอยสิว และหลุมสิว โดยเฉพาะ เพราะเป็นการใช้เทคโนโลยี Fractional Micro Needle RF ที่ส่งพลังงานผ่านเข็มเล็กๆ ลงไปสู่ชั้นผิวโดยตรง รวมถึงช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้อีกด้วย เหมาะกับผู้ที่กังวลเกี่ยวกับหลุมสิว และอยากฟื้นฟูคุณภาพผิว ควรทำประมาณ 3 ครั้งขึ้นไป เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

โบท็อกซ์คืออะไร? สิ่งที่ควรรู้ก่อนฉีด Botox

หากในตู้ยาสามัญประจำบ้านมียาพารา ยาสามัญประจำหน้าของเราก็น่าจะมีโบท็อกซ์ (Botox) เพราะเป็นหัตถการที่คนนิยมฉีดเพื่อลดกราม ปรับรูปหน้า และอื่นๆ แม้ว่าจะคงอยู่ได้ไม่ถาวรแต่ผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าพอใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรศึกษาให้ดีก่อนเริ่มเข้าสู่วงการฉีดโบท็อกซ์

โบท็อกซ์คือ?

โบท็อกซ์ (Botox) หรือ BotulinumToxin Type A หัตถการสุดฮิตที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการความงามของใครหลายๆ คน เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท มีผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว ใช้เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียว ลดกราม ลดริ้วรอย ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว และทำให้ผิวเต่งตึงได้ จึงควรเลือกใช้ตัวยาที่มีความปลอดภัย มีมาตรฐานผ่านอย.

โบท็อกซ์ช่วยอะไร ฉีดจุดไหนได้บ้าง

โบท็อกซ์ช่วยอะไร

1. โบท็อกซ์ลดริ้วรอยบริเวณใบหน้า

โบท็อกซ์ (Botox) จะช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและอารมณ์ เช่น บริเวณหน้าผาก หางตา ระหว่างคิ้วและอื่นๆ ที่เกิดขึ้นบนใบหน้า เน้นความเป็นธรรมชาติ

2. โบท็อกซ์กราม

โบท็อกซ์ (Botox) จะช่วยแก้ไขปัญหาใบหน้าไม่เท่ากัน หรือลดกรามให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลง อีกทั้งช่วยลดอาการนอนกรนได้อีกด้วย

3. โบท็อกซ์ลิฟท์กรอบหน้า

โบท็อกซ์ (Botox) จะฉีดบริเวณกรอบหน้าใต้คาง ทำให้สันกรามดูคม และกรอบหน้ามีความชัดขึ้นเสมือนการกระชับผิวขึ้นไป

4. โบท็อกซ์ลดขนาดน่อง แขนและบ่า

เป็นการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เข้าไปเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณน่อง แขน และบ่าให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งจะใช้ตัวยาปริมาณมากกว่าการฉีดบริเวณใบหน้า เพราะมัดกล้ามเนื้อมีความใหญ่กว่า

5. โบท็อกซ์รักแร้ ลดเหงื่อ

ปัญหาเหงื่อเยอะจะส่งผลให้มีกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์ เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) บริเวณรักแร้เพื่อลดเหงื่อและเพิ่มความมั่นใจได้

6. บริเวณพิเศษอื่นๆ

เช่น การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เพื่อลดขนาดปีกจมูก แก้ปัญหามุมปากตก และบริเวณอื่นๆ สามารถปรึกษาคุณหมอได้

โบท็อกซ์กี่วันเห็นผล? อยู่ได้นานกี่เดือน?

โบท็อกซ์กี่วันเห็นผล

การเห็นผลของโบท็อกซ์ (Botox) จะขึ้นอยู่กับตำแหน่งการฉีดและปริมาณตัวยาที่ใช้

  • โบท็อกซ์ลดกราม เริ่มเห็นผลใน 2-4 สัปดาห์
  • โบท็อกซ์ลดริ้วรอย เริ่มเห็นผลใน 1 สัปดาห์
  • โบท็อกซ์ลิฟท์กรอบหน้า เริ่มเห็นผลใน 1-2 สัปดาห์

ซึ่งโบท็อกซ์ (Botox) จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร ส่วนใหญ่อยู่ได้นาน 4-6 เดือน จึงสามารถเติมได้เรื่อยๆ ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม แบ่งตามยี่ห้อโบท็อกซ์ ได้ดังนี้

    • Botox Allergan เป็นโบอเมริกาแบรนด์แรกที่ได้รับ US FDA มีความบริสุทธิ์ 99.5% อยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน
    • Botox Xeomin โบเยอรมันที่มีความบริสุทธิ์ 100% อยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน
    • Botox Nabota เป็นโบเกาหลีตัวเดียวที่ได้รับ US FDA มีความบริสุทธิ์ 98.7% อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
    • Botox Aestox โบเกาหลีที่มีความบริสุทธิ์ 99.5% อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

วิธีเช็คโบท็อกซ์แท้

วิธีเช็คโบท็อกซ์ (Botox) แท้ สามารถแบ่งวิธีการเช็คตามยี่ห้อโบท็อกซ์ ได้ดังนี้

วิธีเช็คโบท็อกซ์แท้

วิธีเช็คโบท็อกซ์ Allergan

    • เลข Lot. ตรงกันทั้งบริเวณกล่องและขวดยา
    • ภายในกล่องมีเอกสารกำกับภาษาไทย และเลขทะเบียน อย.
    • ด้านข้างของขวดมีโฮโลแกรมคำว่า “Allergan”
    • มีสติกเกอร์ซีลปิดฝากล่อง
วิธีเช็คโบท็อกซ์ Xeomin

วิธีเช็คโบท็อกซ์ Xeomin

    • เลข Lot. ต้องตรงกันทั้งบริเวณกล่องและขวดยา
    • มีคำว่า “ยาควบคุมพิเศษ” อยู่บริเวณหลังกล่อง
    • ภายในกล่องมีเอกสารกำกับเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • สามารถสแกน QR Code ด้านข้างกล่องเพื่อเช็คได้
วิธีเช็คโบท็อกซ์ Nabota

วิธีเช็คโบท็อกซ์ Nabota

  • เลข Lot. ต้องตรงกันทั้งบริเวณกล่องและขวดยา
  • สามารถขูดและสแกน QR Code ด้านข้างกล่องเพื่อเช็คได้
  • สติกเกอร์ Russel Hologram ด้านข้างกล่องจะมีตัวอักษร MN ขึ้นมาเมื่อส่องไฟ
  • บริเวณฝากล่องจะมีสติกเกอร์โฮโลแกรมคำว่า “MONTARA”
วิธีเช็คโบท็อกซ์ Aestox

วิธีเช็คโบท็อกซ์ Aestox

  • เลข Lot. และวันเดือนปี ที่ผลิต และวันหมดอายุ ต้องตรงกันทั้งบริเวณกล่องและขวดยา
  • สามารถขูดและสแกน QR Code บนกล่องเพื่อเช็คได้
  • กล่องจะยังไม่ถูกเปิด บริเวณด้านข้างจะมีรอยประ และคำว่า Open Here
  • มีเลข อย. ข้างกล่อง และมีเอกสารกำกับเป็นภาษาไทยภายในกล่อง

ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์

ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) โดยคุณหมอ มีดังนี้

    1. ทำความสะอาดใบหน้าบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์
    2. ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดความเจ็บ
    3. คุณหมอทำการฉีดโบท็อกซ์ตามบริเวณที่ต้องการรักษา (มีระยะเวลาในการทำประมาณ 10-15 นาที)
    4. นัด Follow Up เพื่ออัปเดตผลการรักษาหลังฉีด 2 สัปดาห์

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์

หลังการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ควรหลีกเลี่ยงการกด นวด และถูบริเวณที่ฉีด เพื่อไม่ให้ตัวยาโบท็อกซ์กระจายไปยังบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ

  • 1-2 ชั่วโมงแรก: ขยับกล้ามเนื้อในจุดที่ฉีดโบท็อกซ์ เพื่อให้ตัวยากระจายเข้าสู่กล้ามเนื้อ
  • 2-3 ชั่วโมงแรก: รอยนูนจากการฉีดจะเริ่มหาย
  • 4 ชั่วโมงแรก: งดนอนราบหรือก้มหน้า
  • 2 วันแรก: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและการเล่นโยคะ
  • 2 สัปดาห์แรก: จะเริ่มเห็นผลการรักษา งดการกดนวด, อบซาวน่า, ทำทรีตเมนท์ หรือเลเซอร์ทุกชนิด เพราะความร้อนจะทำให้ตัวยาโบท็อกซ์สลายไวขึ้น

*สามารถอาบน้ำอุ่น แต่งหน้า โดนแดด และทานปิ้งย่างชาบูได้ตามปกติ

ราคาโบท็อกซ์

การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) จะมีราคาแตกต่างกันไปตามแต่ละพาร์ทที่ฉีดและยี่ห้อโบท็อกซ์ ดังนี้

ราคา botox
  • Botox Allergan 100U (25,000.-)
  • Botox Xeomin 100U (14,999.-)
  • Botox Nabota 100U (12,500.-)
  • Botox Aestox 100U (9,999.-)

สรุป

โบท็อกซ์ (Botox) เป็นยาที่มีผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว นิยมฉีดเพื่อปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย ลดกราม และอื่น ๆ ระยะเวลาการเห็นผลจะอยู่ในช่วง 2-4 สัปดาห์ และอยู่ได้นานกว่า 4-6 เดือน (ขึ้นอยู่กับแบรนด์ที่ใช้ และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล) หลังทำควรงดการกด นวด และถูบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาโบท็อกซ์กระจายไปในจุดที่ไม่ต้องการ ที่สำคัญควรงดการนอนราบใน 4 ชั่วโมงหลัง

Pico Laser คืออะไร? ช่วยอะไรได้บ้าง ? กี่ครั้งเห็นผล ?

Pico Laser คืออะไร? ช่วยอะไรได้บ้าง ? กี่ครั้งเห็นผล ?

          นวัตกรรมเลเซอร์ที่ช่วยรักษาปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม และเป็นที่นิยม คงไม่พ้นเครื่อง Pico Laser ที่จะช่วยเกี่ยวกับการลบริ้วรอยต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวพรรณของเราได้อย่างตรงจุดและมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเครื่องเลเซอร์นี้จะเข้าไปทำให้เม็ดสีมีอนุภาคที่เล็กลง และกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว

Pico Laser คืออะไร

          Picosecond Laser หรือ Pico Laser (พิโค่เลเซอร์) คือเลเซอร์ที่ช่วยรักษาปัญหาผิวและจัดการเม็ดสี โดยการปล่อยพลังงานคลื่นความถี่สูงในระยะเวลาสั้นๆ (ความเร็วสูงถึง 1 ต่อล้านล้านวินาที) ส่งผลให้เม็ดสีเกิดการแตกตัวไวขึ้น จนมีขนาดเล็กลง ทำให้จุดด่างดำ ฝ้า กระ และรอยดำรอยแดงจากสิวเริ่มจางลง อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้กระชับรูขุมขน รักษาหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน ปัญหาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ รวมถึงรอยฝังลึกในผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) จึงสามารถลบรอยสักได้ด้วย

Pico Laser มีกี่แบบ

Pico Laser มีกี่แบบ
          การลดเลือนรอยดำรอยแดง ฝ้า กระ ดูแลปัญหาผิวด้วยเครื่อง Pico Laser แต่ละแบบ อาจได้ผลลัพธ์และผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไปตามเทคโนโลยี ดังนี้

1. Pico Majesty

Pico Majesty ผลิตโดยบริษัท Wontech Asia ประเทศเกาหลีใต้ เป็นนวัตกรรมเลเซอร์ใหม่ล่าสุดที่มีการปลดปล่อยพลังงานด้วยความเร็วสูงสุด 250 Picosecond ตัวแรกของโลก ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นที่สุด หากเทียบกับ Pico Laser ประเภทอื่น โดยจะส่งพลังงานไปยังเป้าหมายที่ต้องการเท่านั้น ทำให้มีประสิทธิภาพการทำลายเม็ดสีให้แตกละเอียดได้สูง ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ รอยสิว ฝ้า กระ รักษารอยแผลเป็น ปาน และรอยสักที่ต้องการลบ อีกทั้งมีการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเรียบเนียน

2. PicoLO

PicoLO Laser เป็น True Picosecond Laser ผลิตโดยบริษัท LASEROPTEK Co.,Ltd. ประเทศเกาหลีใต้ โดยการใช้เทคโนโลยี Fractional 1064 Picosecond Laser with 3 Depth ที่สามารถปล่อยพลังงานลงไปได้ลึกถึง 3 ชั้นผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ทำให้หลังทำไม่ค่อยมีการระคายเคืองผิว ใช้เวลาพักฟื้นได้น้อยลงกว่าเลเซอร์ประเภทอื่น

3. PicoSure

PicoSure ผลิตโดยบริษัท Cynosure Inc. ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งพลังงานไปยังเม็ดสีได้อย่างจำเพาะเจาะจง มีเอกสิทธิ์เฉพาะ (PRESSUREWAVE ™ และ FOCUS™ LENS ARRAY) ทำให้พลังงานที่ส่งไปยังผิวหนังกลายเป็นคลื่นความดัน จึงไม่ทำลายผิวหนังบริเวณรอบๆ

4. PicoWay

PicoWay ผลิตโดยบริษัท Candela Corporation ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเทคโนโลยี Fractional Laser ปล่อยพลังงานคลื่นความถี่สูงในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เม็ดสีมีอนุภาคเล็กลง กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว โดยที่ไม่กระทบผิวหนังบริเวณอื่น มีจุดเด่นในเรื่องการลบรอยสัก แก้ปัญหากระลึก และรอยดำจากสิว

5. PicoPlus

PicoPlus ผลิตโดยบริษัท Lutronic ประเทศเกาหลีใต้ เป็นเครื่องเลเซอร์ที่ถูกพัฒนามาเพื่อชาวเอเชียโดยเฉพาะ ส่งพลังงานไปเพื่อลดการทำงานที่ผิดปกติของเม็ดสี โดยการทิ้งความร้อนไว้ใต้ผิวให้น้อยที่สุด เป็นการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยี Q-Switched Laser และ Fractional Laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เพื่อทำให้ผิวดูเรียบเนียน กระจ่างใส และเติมเต็มหลุมสิวให้ตื้นขึ้น

6. Discovery Pico

Discovery Pico ผลิตโดยบริษัท Quanta System ประเทศอิตาลี พัฒนาต่อจากเลเซอร์ประเภท Nd:YAG ที่ปล่อยพลังงานแบบ Nanosecond จนกลายเป็น Picosecond ที่ให้พลังงานสูงและรวดเร็วกว่าเดิม สามารถปล่อยความยาวคลื่นได้หลายช่วง ซึ่งแพทย์จะทำการประเมินตามปัญหาของแต่ละเคส ช่วยรักษาปัญหาผิวได้หลายอย่าง เช่น หลุมสิว ฝ้า กระ ริ้วรอย แผลเป็น เป็นต้น

Pico Laser ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

Pico Laser ช่วยแก้อะไรบ้าง

Pico Laser สามารถแก้ปัญหาได้ดังนี้

    1. ปัญหารอยดำและรอยแดงที่เกิดจากสิว
    2. ปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่กระชับ ผิวไม่เรียบเนียน
    3. ปัญหาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ช่วยให้หน้าใสขึ้น
    4. ปัญหาฝ้าแดด ฝ้าตื้น และฝ้าลึก
    5. ปัญหากระแดด กระตื้น กระลึก
    6. ปัญหาหลุมสิว และรอยฝังลึก
    7. ลบรอยสักทุกสีและทุกขนาดที่อยู่บนร่างกาย

Pico Laser กี่ครั้งเห็นผล

Pico laser ต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล

การเห็นผลของการทำ Pico Laser จะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล โดยปกติการเห็นผลจะแบ่งได้ดังนี้

    1. ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ จะเริ่มเห็นผลเมื่อทำ Pico Laser ประมาณ 1-2 ครั้งขึ้นไป
    2. ปัญหากระแดดและกระตื้น จะเริ่มเห็นผลเมื่อทำ Pico Laser ประมาณ 1-2 ครั้งขึ้นไป
    3. ปัญหาฝัา กระลึก รอยดำ รอยแดง และรอยแผลเป็น จะเริ่มเห็นผลเมื่อทำ Pico Laser ประมาณ 3-5 ครั้งขึ้นไป
    4. ปัญหาหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน จะเริ่มเห็นผลเมื่อทำ Pico Laser ประมาณ 5-6 ครั้งขึ้นไป
    5. การลบรอยสัก ขึ้นอยู่กับความลึกและขนาด

Pico Laser อยู่นานกี่เดือน

          ผลลัพธ์ของการทำ Pico Laser จะอยู่ได้นานหลายเดือนหรือหลายปี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัญหาของผิว และการดูแลตนเองหลังทำหัตถการ รวมถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล

ขั้นตอนการทำ Pico Laser

ขั้นตอนการทำ pico laser

ขั้นตอนการทำ Pico Laser ที่ Kalm Clinic มีดังนี้

1. ประเมินปัญหาผิวหน้าและวิธีรักษากับคุณหมอ
2. ทำความสะอาดใบหน้าและแปะยาชา 30-40 นาที ก่อนการทำหัตถการเพื่อลดความเจ็บ
3. เมื่อครบเวลายาชา คุณหมอจะเริ่มทำการยิงพิโค่เลเซอร์ตามแผนการรักษาจนเสร็จเรียบร้อย

การดูแลตัวเองหลังทำ Pico Laser

การดูแลตัวเองหลังทำ pico laser
          การดูแลตัวเองหลังทำ Pico Laser โดยทั่วไป มีดังนี้

1. หลังทำเลเซอร์ครบ 24 ชั่วโมง ควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด หรือโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยน
2. ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งและการโดนแดด หลังทำเลเซอร์อย่างน้อย 1 สัปดาห์
3. ทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงๆ เป็นประจำ
4. งดยาหรือครีมที่มีส่วนช่วยผลัดเซลล์ผิวในช่วง 1 สัปดาห์หลังการทำเลเซอร์
5. งดถู แกะ และเกา บริเวณที่ทำเลเซอร์

ผลข้างเคียงหลังทำ Pico Laser

          การทำเลเซอร์ทุกชนิดสามารถเกิดผลข้างเคียงได้ โดยการทำ Pico Laser จะให้ผลข้างเคียง 2 แบบ คือ ผลข้างเคียงที่ปกติ ไม่เป็นอันตรายใดๆ และผลข้างเคียงที่ไม่ปกติ อาจเป็นผลให้ผิวพรรณของเราเกิดความเสียหายได้ ดังนี้

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ปกติ

      1. อาจรู้สึกเจ็บระหว่างทำ
      2. ผิวมีการระคายเคือง เช่น แสบร้อน และมีรอยแดงจากการทำเลเซอร์ สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการประคบเย็น โดยปกติแล้วจะหายเองได้ใน 1-3 วันหลังการทำเลเซอร์
      3. มีแผลตกสะเก็ด เนื่องจากการใช้ค่าพลังงานที่สูงเพื่อแก้ไขปัญหาผิว โดยจะเริ่มหายในช่วง 7 วัน ห้ามมีการแคะ แกะ และเกาบริเวณที่มีแผลตกสะเก็ด

ผลข้างเคียงที่ไม่ปกติ

      1. มีรอยไหม้และเป็นแผลพุพอง
      2. ผิวเป็นจุดด่างสีขาว
      3. ผิวอักเสบและติดเชื้อ

    เมื่อมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น แนะนำให้พบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

ราคาทำ pico laser
          ราคา Pico Laser ที่ Kalm Clinic จะแบ่งตามประเภทการรักษา ดังนี้

1. โปรแกรม Pico Glow หน้ากระจ่างใส ผิวโกลว์สวย
          – 1 ครั้ง 6,000.-
          – 3 ครั้ง 15,000.-
          – 6 ครั้ง 24,000.-

2. โปรแกรม Pico Poreless กระชับบรูขุมขน เบลอผิว เหมือนใส่ฟิลเตอร์
          – 1 ครั้ง 7,000.-
          – 3 ครั้ง 18,000.-
          – 6 ครั้ง 30,000.-

3. โปรแกรม Pico Mela Clear ดูแลปัญหาฝ้า กระ จุดดางดำ
          – 1 ครั้ง 7,000.-
          – 3 ครั้ง 18,000.-
          – 6 ครั้ง 30,000.-

4. โปรแกรม Pico Full Set รักษาแบบ Individualized แก้ปัญหาอย่างตรงจุด
          – 1 ครั้ง 9,900.-
          – 3 ครั้ง 25,000.-
          – 6 ครั้ง 42,000.-

สรุป

Pico Laser เป็นการทำเลเซอร์เพื่อรักษาปัญหาผิวโดย ไม่ว่าจะเป็นการทำให้หน้าใสไร้ริ้วรอย ลบรอยแผลเป็น และลบรอยสัก โดยระยะเวลาการเห็นผลจะอยู่ที่ปัญหาของผิวพรรณที่เกิดขึ้น สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนหรือหลายปี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล

Profhilo คืออะไร เหมาะกับใคร ต่างกับ Sculptra ยังไง

          เมื่อตัวยาที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเริ่มมีบทบาทในประเทศไทย และคนไทยสนใจดูแลฟื้นฟูผิวพรรณของตัวเองมากขึ้น ทำให้ Profhilo ที่เป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่และดังในต่างประเทศ ได้เข้ามาจำหน่ายในไทยเมื่อช่วงปลายปี 2024 โดยเราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ Profhilo ให้มากขึึ้น

Profhilo คืออะไร

          Profhilo คือ Bio-Remodelling หรือสารฟื้นฟูคุณภาพของโครงสร้างผิวในทุกชั้น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ปรับโครงสร้างและฟื้นฟูผิว รักษาความหย่อนคล้อยของผิว ทำให้ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยต่างๆ ก็ดูจางลง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น อีกทั้งยังช่วยซ่อมแซมผิวด้านบนได้อีกด้วย

การทำงานของ Profhilo

การทำงานของ Profhilo
          Profhilo เป็นการรวมกันของกรดไฮยาลูโรนิค (Hyluronic Acid) บริสุทธิ์เข้มข้น ทั้งโมเลกุลเล็ก (L-HA) และโมเลกุลใหญ่ (H-HA) เข้าด้วยกันให้เกิดเป็นพันธะใหม่ที่เรียกว่า HCC (Hybrid Cooperative Complex) ด้วยเทคโนโลยี NAHYCO ของบริษัท IBSA Group จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
          ถึงตัวยาของ Profhilo จะมีส่วนประกอบของ HA เป็นหลัก แต่เป็นแบบ Non-Crosslinked Hyaluronic Acid (ไม่ใช้สารเคมี) ทำให้เมื่อฉีด Profhilo ไปแล้วมีกการอักเสบน้อย ไม่เป็นก้อน ซึ่งไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่ของฟิลเลอร์ที่เป็น Crosslinked Hyaluronic Acid แต่อย่างใด

Profhilo ฉีดจุดไหนได้บ้าง

profhilo ฉีดจุดไหน
          โปรแกรมฉีด Profhilo สามารถฉีดได้หลายจุดตามแพทย์ประเมิน ดังนี้
    1. การฉีด Profhilo บริเวณใบหน้า เป็นจุดที่นิยมฉีดมากที่สุด ซึ่งแพทย์จะทำการฉีดบริเวณโหนกแก้ม ร่องแก้ม ข้างจมูก มุมปาก และขากรรไกรล่าง โดยจิ้มแค่ 5 จุดต่อใบหน้า 1 ข้าง
    2. การฉีด Profhilo บริเวณลำคอที่ผิวเกิดการเสื่อมคอลลาเจน ทำให้ผิวบริเวณลำคอมีความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ การฉีดจุดนี้จะทำให้ริ้วรอยเล็กๆ บริเวณลำคอดูจางลง

การฉีด Profhilo ช่วยอะไรได้บ้าง

          การฉีด Profhilo จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างผิว ทำให้เห็นผลดังนี้
    1. Profhilo ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ
    2. Profhilo ช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่นและความกระชับของผิว
    3. Profhilo ช่วยฟื้นฟูรอยแผลเป็นจากสิวหรือการบาดเจ็บ
    4. Profhilo ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีขึ้น
    5. Profhilo ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และอิ่มฟู

Profhilo เหมาะกับใคร

profhilo เหมาะกับใคร

          การฉีด Profhilo จะเหมาะกับ

– Profhilo เหมาะกับผู้ที่มีอายุมากขึ้น ผิวขาดคอลลาเจน ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และไม่มีความยืดหยุ่นของผิว
– Profhilo เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย และรอยแผลเป็นจากสิว
– Profhilo เหมาะกับผู้ที่เคยฉีด Biostimulator ตัวอื่นมาแล้ว แต่อยากให้ผิวชั้นบนที่มีความเรียบเนียนขึ้น
– Profhilo เหมาะกับผู้ที่ต้องการความชุ่มชื้นตั้งแต่โครงสร้างผิวชั้นตื้นยันชั้นลึก
– Profhilo เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว สามารถใช้ร่วมกับการทำเลเซอร์ในการรักษาหลุมสิวได้

Profhilo ควรฉีดกี่ครั้ง

profhilo ควรฉีดกี่ครั้ง
          Profhilo ควรฉีดให้ครบ 2 ครั้ง ซึ่งมีการเว้นระยะห่างของการฉีดใรแต่ละครั้งเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อให้ตัวยาได้เข้าไปกระตุ้นคอลลาเจนอย่างเต็มที่ และเมื่อครบ 6 เดือน ควรฉีด Profhilo ซ้ำ จะทำให้ผิวมีการคงสภาพและผลลัพธ์ได้ดีขึ้น

Profhilo กี่วันเห็นผล

          การฉีด Profhilo จะเริ่มเห็นผลในช่วง 1 เดือนหลังจากทำหัตถการ ตัวยาที่ฉีดเข้าไปจะมีการกระตุ้นคอลลาเจนในผิวเรื่อยๆ จนเห็นผลชัดเจนในช่วง 2 เดือน ผู้ที่ทำจะสังเกตเห็นได้ว่าผิวมีความกระชับขึ้น และริ้วรอยลดลง

Profhilo กับ Sculptra ต่างกันอย่างไร

profhilo กับ sculptra ต่างกันยังไง
          Profhilo เป็น Bio-Remodelling ที่สามารถฉีดได้ทั้งผิวชั้นตื้น และผิวชั้นลึก เพราะตัวยาจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในโครงสร้างทุกชั้นผิว ทำให้ผิวมีความแน่นฟู ชุ่มชื้น และมีความกระชับ แต่ไม่สามารถทำให้ใบหน้าดูยกได้เหมือน Sculptra ที่เป็น Biostimulator เน้นไปที่การกระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นลึกหรือชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวมีความหนาแน่นขึ้น ยิ่งฉีดเยอะหน้ายิ่งแน่นและยกกระชับ แต่ไม่ควรฉีดเยอะเกินไป อยู่ที่การประเมินของแพทย์ผู้ดูแลเคส

          ซึ่งในเคสที่ทำ Sculptra เพื่อยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจนในโครงสร้างผิวชั้นลึกจนพอใจแล้ว สามารถฉีด Profhilo เพื่อเก็บคุณภาพผิวชั้นตื้นร่วมกันได้

ขั้นตอนการทำ Profhilo

ขั้นตอนการทำ Profhilo โดยแพทย์ที่ Kalm Clinic มีดังนี้

      1. ทำความสะอาดใบหน้าและแปะยาชา
      2. แพทย์ทำการฉีด Profhilo โดยเทคนิค BAP (Bio Aesthetic Points) ข้างละ 5 จุดบนใบหน้า (หากลำคอจะทำการฉีดทั้งหมด 10 จุด) เพื่อให้ตัวยากระจายได้ทั่วบริเวณที่ฉีด

การดูแลตัวเองหลังทำ Profhilo

หลังฉีด Profhilo

    1. หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือถูบริเวณที่ฉีด
    2. ควรงดการแต่งหน้าหรือใช้สกินแคร์หลังทำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
    3. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ และงดการออกกำลังกายอย่างหนัก
    4. งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
    5. ควรหลีกเลี่ยงความร้อน เช่น การอบซาวน่า การทำหัตถการประเภทเลเซอร์ และการออกแดดจัดหลังทำ 48 ชั่วโมง

ราคา Profhilo แพงไหม

ราคา profhilo

          ราคา Profhilo ที่ Kalm Clinic จะอยู่ที่ 29,000.-/1 กล่อง (จากปกติ 39,999.-)
          เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า ทางคลินิกขอแนะนำว่าควรทำกับแพทย์ผู้ที่ผ่านการเทรนฉีด Profhilo โดยบริษัท IBSA Group เท่านั้น

สรุป

การฉีด Profhilo เป็นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน สามารถฉีดได้ตั้งแต่ผิวหนังชั้นตื้น ไปจนถึงผิวหนังชั้นลึก ช่วยให้ผิวมีความกระชับ อิ่มฟู มีความยืดหยุ่น และลดเลือนริ้วรอยต่างๆ บริเวณใบหน้าและลำคอ เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวมีความอ่อนเยาว์ขึ้น และจะเริ่มเห็นผลในช่วง 1 เดือน ตัวยาจะคอยกระตุ้นคอลลาเจนไปเรื่อยๆ จนครบ 2 เดือนจะเห็นผลลัพธ์ชัดขึ้น และเมื่อครบ 6 เดือนควรฉีดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผิวคงสภาพผลลัพธ์ได้เหมือนเดิม

Sculptra คืออะไร ราคาเท่าไหร่ เหมาะกับใคร อันตรายไหม?

          เมื่อเวลาผ่านไปอายุก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่หล่นหายไปตามกาลเวลา ซึ่งก็คือ “คอลลาเจน” ที่อยู่กับผิวของเรา เมื่อคอลลาเจนที่เคยมีลดลงก็จะทำให้ผิวขเริ่มมีริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ซึ่งเป็นสัญญาณของการเริ่มมีอายุอย่างเห็นได้ชัด Sculptra จึงเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะมาช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น ดังนั้น Sculptra จึงไม่ใช่แค่การเติมเต็มแต่คือการฟื้นฟูจากภายใน

Sculptra คืออะไร

          Sculptra เป็น Biostimulator ตัวแรกของโลก ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากใต้โครงสร้างผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คุณภาพผิวดีขึ้น มีความอิ่มฟู เด้ง เต่งตึง กระชับ ดูเด็กลง เนื่องจากมีคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า 25 เดือน Sculptra มีส่วนประกอบเป็น PLLA (Poly-L-Lactic acid) ในรูปแบบผง สังเคราะห์จากพืช จึงไม่ตกค้างในร่างกาย และมีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย

กระบวนการทำงานของ Sculptra

กระบวนการ Sculptra
          Sculptra 1 ขวด เมื่อนำไปผสมกับ Sterile Water จะอยู่ในรูปแบบน้ำ สามารถฉีดได้ 10CC โดยตัวยา Sculptra ที่ฉีดเข้าสู่ผิวชั้นลึกจะทำการกระจายตัวไปตามจุดที่คุณหมอฉีด เพื่อยกกระชับใบหน้า และปรับปรุงคุณภาพผิว
          การออกฤทธิ์ของ Sculptra จะทำงานโดยกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ที่เป็นต้นกำเนิดของการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย อย่างคอลลาเจน Type 1 ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและกระชับในระยะยาว เพราะเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง

Sculptra ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?

Sculptra ช่วยอะไรบ้าง
          Sculptra ทำหน้าที่ไปกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวในโครงสร้างภายใน โดยเน้นไปที่การสร้างคอลลาเจนใหม่
      • Collagen Type 1 ช่วงเรื่องความยืนหยุ่นและคงรูปของผิว พบมากที่สุดในร่างกาย
      • Collagen Type 2 ช่วยซ่อมแซมผิวหนัง พบได้น้อยที่สุดในร่างกาย ทำงานร่วมกับคอลลาเจน Type 1
          จากงานวิจัยของ Sculptra พบว่า สามารถสร้างคอลลาเจนได้เพิ่มขึ้นถึง 66.5% หลังฉีด Sculptra ไป 3 เดือน นอกจากนั้นยังช่วยเรื่องอื่นๆ ได้ ดังนี้
    1. Sculptra ช่วยฟื้นฟูผิวหนังชั้นลึก เพื่อปรับโครงสร้างให้ผิวกลับมาแข็งแรง
    2. Sculptra ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวมีความอิ่มฟู
    3. Sculptra ช่วยยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย ทำให้ผิวเด้ง เต่งตึง
    4. Sculptra ช่วยให้รูขุมขนเล็กลง ผิวเนียนขึ้น
    5. Sculptra ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว และลดการเกิดริ้วรอย

Sculptra ฉีดจุดไหนได้บ้าง?

Sculptra ฉีดจุดไหน
          Sculptra สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง ส่วนใหญ่นิยมฉีดบริเวณด้านข้างของใบหน้าเพื่อเสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ใบหน้ายกกระชับ คืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวในระยะยาว ดังนี้
    1. ขมับ – ฉีด Sculptra เพื่อแก้ปัญหาขมับตอบอันเป็นจุดที่ทำให้ดูมีอายุ อีกทั้งยังช่วยยกหางตาและคิ้วให้กระชับ ดูสดใสขึ้น
    2. หน้าแก้ม – ฉีด Sculptra เพื่อแก้ปัญหาหน้าตอบให้ผิวหน้าแก้มมีความเด้ง อิ่มฟู และเต่งตึงขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ
    3. กรอบหน้า – ฉีด Sculptra เพื่อกระชับผิวบริเวณกรอบหน้า ทำให้มีความคมชัดขึ้นและไม่หย่อนคล้อย

Sculptra เหมาะกับใคร?

Sculptra เหมาะกับใคร
          Sculptra ตัวกระตุ้นคอลลาเจนเหมาะกับ
    1. Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดคอลลาเจนเนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้น
    2. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ผิวขาดความยืดหยุ่น มีความหย่อนคล้อยไม่กระชับ
    3. Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยแบบเห็นได้ชัด
    4. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ขาดกาดดูแลผิวเป็นเวลานาน และต้องการฟื้นฟูผิวจากภายใน
    5. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวแน่น ตึง อิ่มฟู และกระชับขึ้น
    6. Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำหัตถการที่เห็นผลลัพธ์ยาวนาน ไม่ต้องเจ็บตัวบ่อย ๆ

ขั้นตอนการฉีด Sculptra

ขั้นตอนการฉีด Sculptra
          ขั้นตอนการฉีด Sculptra โดยคุณหมอผู้ผ่านการเทรนจาก Galderma Thailand มีดังนี้
    1. ทำความสะอาดใบหน้าและแปะยาชาประมาณ 45 นาที ก่อนทำหัตถการ เพื่อลดทอนความเจ็บ
    2. คุณหมอเตรียม Sculptra ให้อยู่ในรูปแบบพร้อมฉีด โดยนำผงในขวดไปผสมกับ Sterile Water (น้ำกลั่นปราศจากเชื้อ) และเขย่าให้เข้ากันเป็นเวลา 1 นาที จะได้ Sculptra พร้อมฉีดจำนวน 10CC
    3. คุณหมอทำการฉีด Sculptra ให้ครบขวดด้วยเข็มทู่ เพื่อแก้ปัญหาทั่วใบหน้า
    4. นวดหน้าหลังฉีด Sculptra ตามที่คุณหมอแนะนำ เพื่อให้ยากระจายตัวได้ดี

ฉีด Sculptra กี่วันเห็นผล?

ฉีด Sculptra กี่วันเห็นผล
          หลังฉีด Sculptra คุณภาพผิวจะดีขึ้นใน 2-3 สัปดาห์ และเริ่มเห็นผลเต็มที่ในช่วง 3 เดือน โดย Sculptra จะทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง ผิวดูกระชับ เต่งตึง และอิ่มฟู ดูมีน้ำมีนวลขึ้นจากเดิม อีกทั้งริ้วรอยที่เคยมีก็จะค่อย ๆ ลดลง

Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง?

Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล
          เนื่องจาก Sculptra เป็นการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวอย่างช้าๆ ช่วงแรกควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง หรือฉีดให้ครบปริมาณที่ควรรับตามช่วงอายุ เพื่อช่วยปรับสภาพผิว Sculptra จะเริ่มเห็นผลอย่างช้าๆ และผลลัพธ์โดยรวมจะอยู่ได้นานกว่า 25 เดือน
          ปริมาณที่ควรฉีดตามช่วงอายุ
          ปริมาณการฉีด Sculptra ตามที่คุณหมอแนะนำ ควรฉีดตามช่วงอายุหารด้วย 10 เช่น อายุ 30 ควรฉีด Sculptra 3 ขวด, อายุ 40 ควรฉีด Sculptra 4 ขวด เป็นต้น
          แต่เนื่องจากผิวของคนเอเชียจะมีความแข็งแรงกว่าคนยุโรป อาจจะฉีดปริมาณที่ลดลงมาได้ ตามคำแนะนำของคุณหมอ

Sculptra อยู่ได้นานไหม?

ฉีด Sculptra อยู่ได้นานไหม
          เนื่องจาก Sculptra เป็นการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวอย่างช้า ๆ ทำให้เริ่มเห็นผลดีใน 3 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นร่างกายจะกระตุ้นคอลลาเจนไปเรื่อยๆ และผลลัพธ์โดยรวมจะอยู่ได้นานกว่า 25 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง

การดูแลตัวเองหลังฉีด Sculptra

วิธีดูแลตัวเองหลังฉีด Sculptra
          หลังฉีด Sculptra ควรปฏิบัติตัวดังนี้
    1. ประคบเย็นเพื่อลดบวม
    2. 24 ชั่วโมงแรก: งดแต่งหน้า และงดโดนความร้อนบริเวณใบหน้า
    3. งดทำหัตถการอื่น ๆ ในช่วง 2-4 สัปดาห์
    4. นวดหน้าด้วยหลัก Triple 5 (นวดครั้งละ 5 นาที วันละ 5 ครั้ง นาน 5 วัน) เพื่อให้ตัวยากระจายเข้าผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Sculptra ราคาเท่าไหร่?

ราคาฉีด Sculptra
          ราคาของ Sculptra ที่ Kalm Clinic จะอยู่ที่ 1 ขวด 29,000.- (10CC)
          และเพื่อความปลอดภัยของลูกค้า ควรทำกับคุณหมอผู้ผ่านการเทรนฉีด Sculptra โดยบริษัท Galderma Thailand เท่านั้น

สรุป

          Sculptra เป็น Biostimulator ตัวแรกของโลกที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อปรับโครงสร้างภายในผิวให้มีความแข็งแรงขึ้น โดยจะอยู่ในรูปแบบผงก่อนนำมา ผสมกับ Sterile Water จนได้เป็น Sculptra พร้อมฉีด 10CC เหมาะกับผู้ที่ผิวขาดคอลลาเจนและความยืดหยุ่น ต้องการทำหัตถการที่ทำครั้งเดียวแต่อยู่ได้นานกว่า 25 เดือน ซึ่งหลังการฉีดควรนวดหน้าตามหลัก Triple 5 (นวดครั้งละ 5 นาที วันละ 5 ครั้ง นาน 5 วัน) เพื่อให้ตัวยากระจายได้เต็มที่ จะเริ่มเห็นผลชัดเจนในช่วง 3 เดือนแรกเป็นต้นไป

Oligio คืออะไร? ยกกระชับ ลดไขมันแก้มและเหนียง ได้จริงไหม?

          หน้าเรียววีเชฟเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ ปัจจุบันมีวิธีทำให้หน้าเรียวเหนียงยุบเยอะมาก แต่หากใครที่กำลังมองหาวิธีที่จะทำให้เจ็บน้อยที่สุด ก็คงไม่พ้นการทำเครื่องยกกระชับ ซึ่งตอนนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ โดยเครื่อง Oligio เป็นอีกเครื่องที่กำลังได้รับความสนใจมาก เพราะช่วยลดไขมันส่วนเกินในส่วนต่างๆ บนใบหน้าได้

Oligio คืออะไร?

          Oligio คือเครื่องยกกระชับใหม่ล่าสุดจากเกาหลี ที่ใช้เทคโนโลยี Monopolar RF ส่งพลังงานลงไปยังชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) เพื่อช่วยกระชับผิวหนังและกระตุ้นคอลลาเจน โดยบริเวณหัว Tips ของ Oligio จะมีขนาดใหญ่ (F4.0) ทำให้การยิงพลังงานมีความแม่นยำและสม่ำเสมอ ทำให้ประสิทธิภาพการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังมีความกระชับ แน่น และยืดหยุ่น นอกจากนั้นความร้อนจากเครื่อง Oligio ยังช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวให้มีขนาดบางลงได้อีกด้วย

Oligio สามารถปล่อยพลังงานไปยังผิวชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันได้ จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ดังนี้

    1. Oligio ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยให้มีความเฟิร์มกระชับมากขึ้น
    2. Oligio ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว
    3. Oligio ช่วยสลายไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง จากคลื่นความร้อนที่ส่งไปยังผิว ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น แก้มและเหนียงก็ลดลง
    4. Oligio ช่วยกระชับรูขุมขน ลดริ้วรอย และผิวมีความเรียบเนียนขึ้น

Oligio ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง?

Oligio เป็นเครื่องที่ช่วยกระชับทุกสัดส่วนบนร่างกายได้ ดังนี้

    1. บริเวณทั่วผิวหน้า Oligio ช่วยให้ใบหน้ามีความเฟิร์มกระชับขึ้น
    2. บริเวณรอบดวงตา คิ้ว และหน้าผาก Oligio ช่วยให้ริ้วรอยเล็กๆ บริเวณนี้จางลง ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
    3. บริเวณกรอบหน้า Oligio ช่วยให้กรอบหน้ามีความคมชัดขึ้น
    4. บริเวณใต้คาง Oligio ช่วยสลายไขมันบริเวณใต้คางหรือเหนียง
    5. บริเวณลำคอ Oligio ช่วยให้ผิวบริเวณลำคอมีความกระชับขึ้น
    6. บริเวณต้นแขน Oligio ช่วยลดไขมันบริเวณต้นแขน จากที่หย่อนคล้อยให้มีความเฟิร์มและผิวแน่นขึ้น
    7. บริเวณหน้าท้อง Oligio ช่วยลดไขมันหน้าท้อง แต่อาจจะต้องใช้จำนวนช็อตที่มากกว่าบริเวณผิวหน้า

Oligio เหมาะกับใคร

Oligio เหมาะกับใคร

เครื่องยกกระชับ Oligio เหมาะกับ

    1. ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย และอยากให้ผิวมีความเฟิร์มกระชับและเรียบเนียนขึ้น
    2. ผู้ที่มีปัญหาแก้ม เหนียง และไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนังเยอะ
    3. ผู้ที่มีเนื้อแก้มเยอะ และอยากลดไขมันบริเวณแก้มเพื่อให้ใบหน้าดูเล็กลง
    4. ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด อยากให้หน้าดูคมขึ้น
    5. ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องแก้ม และไม่อยากทำหัตถการที่ใช้เข็ม
    6. ผู้ที่มีกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวหน้า
    7. ผู้ที่ต้องการชะลอความหย่อนคล้อยของผิวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ขั้นตอนการทำ Oligio

ขั้นตอนทำ Oligio

ขั้นตอนการทำ Oligio โดยคุณหมอ มีดังนี้

    1. ทำความสะอาดใบหน้าและแปะยาชา (ประมาณ 30-40 นาที) ก่อนทำหัตถการ
    2. ทำการแปะแผ่นนำสื่อบริเวณต้นแขน เพื่อให้พลังงานส่งไปยังผิวหนัง
    3. ทาเจลสำหรับเครื่อง Oligio ลงบริเวณที่จะรักษา
    4. ใส่หัว Oligio เพื่อปล่อยพลังงานที่ผิวและแก้ปัญหาทั่วใบหน้าจนครบจำนวนช็อต
    5. ทำความสะอาดใบหน้าหลังทำหัตถการเสร็จ

Oligio อยู่นานแค่ไหน

          เนื่องจาก Oligio จะส่งพลังงานจากคลื่น Monopolar RF เพื่อไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวโดยตรง จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคงอยู่นานประมาณ 9-12 เดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองและปัจจัยอื่น ๆ *ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละคน

การดูแลตัวเองหลังทำ Oligio

วิธีดูแลหลังทำ Oligio
          หลังทำ Oligio สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เช่น ไปเที่ยว แต่งหน้า ทาครีม แต่ 1 สัปดาห์หลังทำ ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการประเภทเลเซอร์ และอบซาวน่า เพื่อการฟื้นฟูผิวอย่างเต็มที่ *หากมีอาการปวดสามารถประคบเย็นได้

Oligio ราคาแรงไหม?

ราคา Oligio

โปรโมชั่นเครื่องยกกระชับ Oligio ที่ Kalm Clinic มีดังนี้

1. Oligio 100 Shots 5,900.- (จากปกติ 13,900.-)
2. Oligio 300 Shots 15,900.- (จากปกติ 22,900.-) เลือกของแถมได้ 1 รายการ
รายการของแถม
– Ultraformer III 100 Shots
– โบกรามหรือริ้วรอย (Aestox)
– Fat-M 1 ขวด

สรุป

          Oligio เป็นเครื่องยกกระชับที่ใช้เทคโนโลยี Monopolar RF ส่งพลังงานลงไปเพื่อกระชับผิวและกระตุ้นคอลลาเจน อีกทั้งความร้อนยังช่วยลดไขมันได้อีกด้วย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย แฟตเยอะ และอื่น ๆ การทำ Oligio 1 ครั้งจะให้ผลลัพธ์ประมาณ 9-12 เดือน สามารถทำได้แทบจะทุกบริเวณที่ต้องการให้ผิวกระชับและลดไขมัน