ดูแลผิวก่อนวัย 30+ หัตถการที่ควรทำมีอะไรบ้าง

ดูแลผิวก่อนวัย 30+ หัตถการที่ควรทำมีอะไรบ้าง

การดูแลผิวหน้าก่อนอายุ 30 ปี เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย และรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวในระยะยาว เปรียบเสมือนดูแลพื้นฐานผิวให้แข็งแรง โดยเน้นการทำความสะอาดและสัมผัสผิวอย่างอ่อนโยน บำรุงผิว ปกป้องผิวจากแสงแดด พักผ่อนให้เพียงพอ และอื่นๆ อีกทั้งสามารถใช้หัตถการหรือวิธีทางการแพทย์ช่วยได้ สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวอย่างรวดเร็ว

ปัญหาผิวก่อนวัย 30

ปัญหาผิวในช่วงก่อน 30 สามารถแบ่งได้ 2 แบบ ดังนี้

1. ช่วงอายุ 19-25 ปี

เป็นช่วงวัยที่ผิวยังมีความกระชับและอ่อนวัย รวมถึงฟื้นฟูตัวเองได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อพบเจอกับมลภาวะประจำวัน รวมถึงความเครียดในด้านการเรียนหรือทำงาน และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต อาจส่งผลเสียต่อผิวได้ เช่น ความหมองคล้ำ ใบหน้าดูไม่สดชื่น ริ้วรอยบางๆ และปัญหาสิว

2. ช่วงอายุ 25-30 ปี

เป็นช่วงวัยที่ก้าวเข้าสู่การทำงานอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าต้องเผชิญกับความเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งคอลลาเจนในร่างกายที่เคยผลิตได้ในปริมาณมากก็ลดลง ปัญหาผิวจะเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ เช่น ผิวแห้งหยาบกร้าน ไม่มีความชุ่มชื้น ริ้วรอยร่องลึก ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองของแต่ละบุคคล อาจจะมีมากหรือน้อยปะปนกันไป

วิธีดูแลผิวเริ่มง่ายๆ ด้วยตัวเราเอง

วิธีดูแลผิวที่ทำได้ด้วยตนเองสำหรับวัยก่อน 30 เริ่มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว หรือสิ่งที่ทำได้ในชีวิตประจำวัน ดังนี้

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน หรือมากกว่า ทำให้ร่างกายได้รับน้ำที่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่ง ชุ่มชื้น อิ่มน้ำตลอดทั้งวัน

2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายหรือการขยับร่างกาย ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น อีกทั้งการเสียเหงื่อจะทำให้ร่างกายสามารถขับของเสียออกได้ทางผิวหนัง เสมือนการดีท็อกซ์ผิว ส่งผลให้ผิวดูสดใสควบคู่กัลสภาพร่างกายที่แข็งแรง

3. ล้างหน้าอย่างถูกวิธี
การทำความสะอาดผิวหน้าหรือการล้างหน้า ควรมีสัมผัสที่อ่อนโยน นุ่มนวลและไม่ทำร้ายผิว เพราะการล้างหน้ามีผลต่อเสียผิวหากทำไม่ถูกวิธี เช่น การถูแรงเกินไป หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิวของเรา ทำให้เกิดปัญหาผิว อย่างอาการแพ้หรืออักเสบ และปัญหาสิว

4. ใช้สกินแคร์บำรุงผิว
หลังล้างหน้าทุกครั้งควรใช้สกินแคร์บำรุงผิวอยู่ตลอด เพื่อรักษาเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว โดยดูจากส่วนผสมต่างๆ ในสกินแคร์ จะช่วยให้ผิวของเราได้รับการฟื้นฟูอยู่เสมอ เช่น โทนเนอร์ เซรั่ม มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมต่างๆ เป็นต้นอ

5. หลีกเลี่ยงแสงแดด และมลภาวะ
ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ฝุ่น และมลภาวะอื่นๆ อันเป็นสาเหตุให้เกิดความหมองคล้ำ จุดด่างดำ สิว และฝ้ากระ โดยการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงๆ จะช่วยป้องกันผิวของเราจากมลภาวะต่างๆ ได้ส่วนหนึ่ง โดยไม่ให้ผิวปะทะกับแสงแดดโดยตรง

6. ลดอาหารที่มีรสจัด และของทอด
ส่วนผสมในอาหารที่มีรสจัด ของทอด ของมัน หรืออาหารฟาสต์ฟู้ด ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย เช่น ผิวแก่ก่อนวัย ผิวแห้งเสีย ปัญหาสิว และอื่นๆ ในแต่ละวันจึงควรลดอาหารประเภทนี้ลง

1. ปัญหาริ้วรอย และการเติมเต็ม

  • โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอย เหมาะกับการฉีดเพื่อลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว และหางตา (ตีนกา) จะช่วยให้ริ้วรอยเหล่านี้จางลง ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์สำหรับลดริ้วรอยบริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รอบริมฝีปาก หรือการเติมเต็มบริเวณใต้ตาให้ดูสดชื่นขึ้น สำหรับผู้ที่มีขอบตาคล้ำ ใต้ตาดำ หรือเติมเต็มเพื่อปรับรูปหน้า บริเวณหน้าแก้ม แก้มตอบ หรือขมับ

2. อยากหน้าเรียว และกระชับ

  • โปรแกรม Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับที่สามารถยกกระชับได้ถึงชั้น SMAS  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวดูกระชับและยกขึ้น ลบปัญหาผิวหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องพึ่งเข็ม 
  • โปรแกรม Oligio เครื่องเฟิร์มกระชับที่สามารถยกได้ทุกชั้น รวมถึงความร้อนของตัวเครื่องจะเข้าไปช่วยลดปริมาณไขมันได้ เช่น บริเวณแก้มและเหนียง ทำให้ใบหน้าเฟิร์มกระชับขึ้น เห็นกรอบหน้าชัด
  • โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์กราม เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อกราม ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น และโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ลิฟท์กรอบหน้า เพื่อทำให้ใบหน้าดูยกกระชับ

หรือโปรแกรมยกหน้าดาราของ Kalm Clinic จะเป็นการรวมกันของหัตถการเหล่านี้ เพื่อการยกกระชับปรับหน้าเรียว

3. ปัญหาผิวหมองคล้ำ รอยสิว จุดด่างดำ

  • โปรแกรม Pico Laser เป็นเครื่องเลเซอร์ที่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ รูขุมขนกว้าง รอยดำรอยแดงจากสิว จุดด่างดำ และฝ้ากระ โดยการทำเลเซอร์ประเภทนี้จะช่วยคลี่คลายปัญหาผิวต่างๆ แต่ต้องอาศัยการทำที่สม่ำเสมอ
  • โปรแกรมฉีด Juvelook เป็นตัวกระตุ้นคอลลาเจนที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดปัญหาสิว ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น อีกทั้งยังสามารถฉีดบริเวณใต้ตาเพื่อให้ดูสว่างขึ้นได้ด้วย
  • โปรแกรมฉีด Meso Glowing Tear เป็นการฉีดเพื่อให้ผิวดูกระจ่างใสและมีชีวิตชีวาขึ้น

4. ฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก

  • โปรแกรมฉีด Biostimulator อย่าง Sculptra Profhilo และ Juvelook ในผู้ที่มีอายุ 20 ปลายๆ ในช่วงที่คอลลาเจนเริ่มเสื่อมถอย จะช่วยให้ผิวได้รับการฟื้นฟูอย่างล้ำลึกถึงโครงสร้างผิวภายใน เพื่อป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยให้ดูกระชับขึ้น

สรุป

ช่วงวัยก่อน 30 เป็นวัยที่ผิวยังดูดีและอ่อนเยาว์ในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องได้รับการดูแลและฟื้นฟูอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้เกิดปัญหาผิวน้อยที่สุด แน่นอนว่าการทำหัตถการจะช่วยให้เห็นผลอย่างรวดเร็ว แต่ระหว่างนั้นควรมีการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงควบคู่ไปด้วยเสมอ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันเลยคือครีมกันแดด เนื่องจากเราสามารถพบเจอมลภาวะและแสงแดดได้ตลอด

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย

เปรียบเทียบ Oligio กับ OligioX รวมข้อแตกต่างและข้อดีที่ควรรู้ก่อนทำ

เปรียบเทียบ Oligio กับ OligioX รวมข้อแตกต่างและข้อดีที่ควรรู้ก่อนทำ

เทคโนโลยียกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดมีให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย หนึ่งในเทคโนโลยี Monopolar RF ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงการยกกระชับผิวเฟิร์ม คือ Oligio จากบริษัท Wontech Asia โดยตัวเครื่องออกแบบเพื่อให้มีความเจ็บน้อยลง เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเจ็บแต่อยากดูแลผิวหน้า ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาเวอร์ชันใหม่ที่เรียกว่า OligioX ขึ้นมา ซึ่งความเหมือนและความแตกต่างกันของทั้ง 2 เครื่อง มีดังนี้

Oligio คืออะไร

Oligio เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยคลื่น Monopolar RF คลื่นความถี่ 6.78 MHz ที่ส่งพลังงานแบบ Single Mode (ปรับวิธีการยิงได้เพียงโหมดเดียว) เจ็บน้อย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ให้ผิว ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยนั้นมีความกระชับขึ้น ผิวดูเรียบเนียนสุขภาพดี

OligioX คืออะไร

OligioX คือเทคโนโลยี Monopolar RF คลื่นความถี่ 6.78 MHz โดยพัฒนามาจาก Oligio รุ่นเดิม มาพร้อมกับการส่งพลังงานแบบ Dual Mode (G Mode/ X Mode) ทำให้สามารถปล่อยพลังงานได้มากขึ้น (สูงสุด 400W) และแม่นยำขึ้น มีระบบระบายความร้อนแบบเรียลไทม์ จึงสามารถส่งพลังงานแบบสม่ำเสมอสู่ผิวชั้นลึกได้มากขึ้น เพราะระบบ Cooling จะช่วยลดความรู้สึกแสบร้อนขณะทำ

OligioX ดีอย่างไร

ประโยชน์ของการทำเครื่องยกกระชับ OligioX มีดังนี้

  • OligioX ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
  • OligioX ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ
  • OligioX ช่วยฟื้นฟูผิวโดยการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
  • OligioX ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ปรับคุณภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น
  • OligioX ช่วยยกกระชับกรอบหน้า
  • OligioX กระชับไขมันใต้คางหรือเหนียงให้หดตัวลง

การทำงานของ Oligio และ OligioX

Oligio เทคโนโลยี Monopolar RF ที่เป็น Single Mode เพื่อส่งพลังงานไปสู่ผิวชั้นหนังแท้และชั้นไขมันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว

OligioX เทคโนโลยี Monopolar RF ที่เป็น Dual Mode ที่ยิงพลังงานสลับในชั้นผิวที่ตื้นและลึก ดังนี้

  1. G Mode ปล่อยพลังงานลงตื้นกว่าโหมด X โดยใช้ความร้อนที่อ่อนลง ลงสู่ผิวชั้นบนเพื่อทำการ วอร์มความร้อนบนผิวหรือรองรับการยิงโหมด X ในภายหลัง
  2. X Mode โหมดพิเศษของเครื่องยกกระชับผิว OligoX ที่สามารถปล่อยความเย็นได้ถึง 11 Pulses ตลอดการทำหัตถการ ทำให้สามารถปล่อยพลังงานลงสู่ผิวได้ลึกมากขึ้นจากโหมดปกติ

ระบบทำความเย็น

Oligio มีระบบการปล่อยพลังงานความเย็นแบบ Real Time 5 Pulses ช่วยควบคุมอุณหภูมิผิวให้คงที่ระหว่างทำหัตถการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บรรเทาความแสบร้อนระหว่างทำหัตถการได้ดี คนไข้จะรู้สึกอุ่นๆ ขณะทำ ทั้งนี้ ระดับความรู้สึกจะขึ้นอยู่กับพลังงานที่ใช้ และสภาพผิวของแต่ละบุคคล 

OligioX มีการปล่อยพลังงานความเย็นแบบ Real Time 11 Pulses ที่มากกว่า Oligio รุ่นเดิม ทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิและการกระจายพลังงานได้แม่นยำยิ่งขึ้น  เนื่องจากมีการปล่อยความเย็นตลอดการทำหัตถการ จึงช่วยลดความร้อนสะสมบนผิวและเพิ่มความสบายขณะทำ ไม่เจ็บหรือแสบผิวจนเกินไป อีกทั้งยังสามารถปล่อยพลังงานได้ลึกและมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และกระชับชั้นผิวจากภายในได้ดีขึ้น

Oligio และ OligioX เหมาะกับใครบ้าง

เครื่องยกกระชับ Oligio และ OligioX เหมาะกับ

  • ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย อยากกระชับผิว
  • ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด แก้มตก และมีเหนียง
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เต่งตึง ยืดหยุ่น และลดริ้วรอย
  • ผู้ที่มีเวลาพักฟื้นน้อย 
  • ผู้ที่อยากปรับคุณภาพผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น

ผลลัพธ์และระยะเวลาของการทำ Oligio และ OligioX

หลังทำหัตถการจะรู้สึกว่าผิวยกกระชับขึ้นเล็กน้อย และจะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดขึ้นในช่วง 1-2 เดือน เมื่อคอลลาเจนเริ่มสร้างตัวได้อย่างเต็มที่ ทำให้คงอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลอย่างต่อเนื่อง

สรุปการเปรียบเทียบ Oligio Vs OligioX แบบเข้าใจง่าย

ทั้ง Oligio และ OligioX ต่างก็เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวด้วยคลื่น RF ที่ให้ผลลัพธ์ปลอดภัยและเห็นผลจริง แต่ OligioX เป็นการอัปเกรดให้ตอบโจทย์กับปัญหามากขึ้น

คุณสมบัติ Oligio OligioX
เทคโนโลยี Monopolar RF (6.78 MHz) Monopolar RF (6.78 MHz)
การปล่อยพลังงาน ปล่อยพลังงานได้ปานกลางถึงสูง ปล่อยพลังงานสูงสุด 400W
โหมดการยิงพลังงาน Single Mode ปรับการยิงได้โหมดเดียวลงสู่ชั้นผิว Dual Mode ยิง 2 โหมดสลับตื้นและลึก โดย G Mode จะลงสู่ชั้นผิวที่ตื้น ส่วน X Mode สามารถลงได้ถึงชั้นลึกได้
ระบบทำความเย็น หัวยิงมีการปล่อยความเย็น 5 Pulses เพื่อลดความแสบร้อนระหว่างทำ หัวยิงมีการปล่อยความเย็นแบบเรียลไทม์ 11 Pulses ทำให้ลดความแสบร้อนระหว่างทำได้ดีขึ้น
ความรู้สึกขณะทำ รู้สึกอุ่นเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล มีการปรับให้รู้สึกสบายมากขึ้น ขณะทำหัตถการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ผลลัพธ์ ยกกระชับกรอบหน้าได้ดี ผิวเฟิร์มกระชับ สามารถยกกระชับในชั้นที่ลึกขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย

7 หัตถการฟื้นฟูผิวหลังอายุ 30+ ที่ต้องลอง

7 หัตถการฟื้นฟูผิวหลังอายุ 30+ ที่ต้องลอง

เมื่ออายุย่างเข้าเลข 3 ร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ทำให้ผิวเริ่มแห้งบางขาดน้ำ ขาดความยืดหยุ่น รูขุมขนขยายกว้างขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ ก็เริ่มชัด กระบวนการซ่อมแซมตัวเองของผิวช้าลง การใช้สกินแคร์ดูแลอาจไม่เพียงพอ จึงต้องอาศัย หัตถการฟื้นฟูผิว เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมความเสียหายจากภายใน

ทำไมการฟื้นฟูผิวหลัง 30 จึงสำคัญ

การฟื้นฟูผิวหลังอายุ 30 นั้นสำคัญเพราะเป็นจุดเปลี่ยนของผิวทั้งในระดับโครงสร้างผิว และกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย ซึ่งสาเหตุหลักมีดังนี้v

  1. คอลลาเจนและอีลาสตินเริ่มลดลง หลังอายุ 30 ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนลดลงเฉลี่ย 1% ต่อปี ทำให้เส้นใยอีลาสตินเริ่มเสื่อมสภาพ และผิวสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยง่ายขึ้น
  2. การผลัดเซลล์ผิวช้าลง เพราะวงจรการผลัดเซลล์ผิวจากเดิมประมาณ 28 วัน จะยาวนานขึ้นเป็น 35–40 วัน ทำให้ผิวหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง และเนื้อผิวไม่เรียบเนียน
  3. ความชุ่มชื้นในผิวลดลง ชั้นผิวกักเก็บน้ำได้ไม่ดีเหมือนเดิม ทำให้ผิวแห้ง ขาดน้ำ และเกิดริ้วรอยตื้นเร็วขึ้น
  4. ผลจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เช่น แสงแดด มลภาวะ ฝุ่นควัน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การนอนดึก การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการสูบบุหรี่ ทำให้สะสมความเสียหายต่อผิวได้เรื่อยๆ
  5. การฟื้นฟูเร็ว ช่วยให้ชะลอวัยได้นานขึ้น หากเริ่มกระตุ้นคอลลาเจนและดูแลโครงสร้างผิวตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยชะลอความเสื่อมของผิว ทำให้ไม่ต้องแก้ปัญหาหนักๆ ในวัย 40–50 และคงผิวที่ดูอ่อนเยาว์ได้นานกว่าผิวที่ไม่ได้รับการดูแล

ปัญหาผิวที่พบบ่อยหลังสามสิบ

  1. ริ้วรอยแรกเริ่ม (Fine lines) รอบตา หน้าผาก ระหว้างคิ้ว หรือร่องแก้ม
  2. ผิวหมองคล้ำ จากการสะสมของเม็ดสีและการไหลเวียนเลือดที่ช้าลง รวมถึงแสงแดดและมลถาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
  3. ความหย่อนคล้อย จากการสูญเสียคอลลาเจนและไขมันใต้ผิว
  4. รูขุมขนกว้าง เพราะผิวขาดความกระชับ
  5. ผิวแห้งขาดน้ำ เพราะชั้นผิวกักเก็บความชื้นได้น้อยลง

7 หัตถการฟื้นฟูผิวที่เหมาะกับวัย 30+

หัตถการสำหรับการฟื้นฟูผิวของวัย 30+ ควรเน้นหัตถการที่ปลอดภัย เห็นผลชัด และกระตุ้นการฟื้นฟูจากภายใน เพื่อแก้ปัญหาผิวทั้งริ้วรอยแรกเริ่ม ความหมองคล้ำ และความหย่อนคล้อย ดังนี้

1. โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอย

ทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยเพื่อคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุด ลดการขยับที่ก่อให้เกิดริ้วรอย เหมาะกับการฉีดริ้วรอยบริเวณหางตา หน้าผาก และรอยย่นที่เกิดขึ้นระหว่างคิ้ว จากการขมวดคิ้วบ่อยๆ

จุดเด่น: เห็นผลเร็ว 3–7 วัน อยู่ได้นาน 4–6 เดือน
ผลลัพธ์: ผิวตึงเรียบ ดูอ่อนเยาว์

2. โปรแกรมฉีด Sculptra (Collagen Biostimulator)

ในโปรแกรม Sculptra จะมีส่วนประกอบของสาร Poly-L-lactic acid (PLLA) ทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนธรรมชาติ Type 1 อย่างต่อเนื่อง เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ ริ้วรอยร่องลึก และปัญหาอื่นๆ จากการที่คอลลาเจนในร่างกายมีไม่เพียงพอ

จุดเด่น: ฟื้นฟูแบบค่อยเป็นค่อยไป ผลอยู่ได้นานกว่า 25 เดือน
ผลลัพธ์: ผิวแน่น นุ่มเด้ง อิ่มฟู คืนความเยาว์ให้ตัวเอง

3. โปรแกรมฉีด Profhilo (Skin Bio-Remodelling)

โปรแกรม Profhilo มีส่วนประกอบเป็นกรดไฮยาลูโรนิกเข้มข้นสูง ที่สามารถกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินได้ เนื่องจากเป็น HA ที่สามารถเติมความชุ่มชื้นได้ จึงเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งขาดน้ำ และริ้วรอยเล็กๆ บริเวณใบหน้าและลำคอ

จุดเด่น: ใช้การฉีดเพียง 5 จุดต่อข้าง เพื่อให้ตัวยากระจายทั่วหน้าและเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก
ผลลัพธ์: ผิวเด้ง ฉ่ำฟู ดูเป็นธรรมชาติ

4. โปรแกรม Ultraformer III (Micro & Macro Focused Ultrasound ยกกระชับ)

โปรแกรม Ultraformer III เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงยิงพลังงานลงไปถึงชั้น SMAS เพื่อยกกระชับผิว เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยระดับแรกจนถึงปานกลาง

จุดเด่น: เห็นผลบางส่วนทันทีหลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น
ผลลัพธ์: กรอบหน้าคม หน้ายกได้รูป ผิวมีความกระชับ

5. โปรแกรม Oligio (Monopolar RF เฟิร์มกระชับ)

โปรแกรม Oligio ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงกระตุ้นคอลลาเจนในทุกชั้น ทั้งชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน เพื่อลดขนามไขมันส่วนเกินให้เล็กลง และผิวกระชับขึ้น จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวเริ่มหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด รูขุมขนกว้าง

จุดเด่น: เจ็บน้อย เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดใน 1–3 เดือน
ผลลัพธ์: หน้ายก กระชับ ผิวแน่นและเฟิร์มขึ้น

6. โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แบบ Skin Booster (Restylane, Teoxane, Belotero Revive)

Skin Booster เป็นการเติมเต็มความชุ่มชื้นและสารบำรุงลึกสู่ผิวโดยตรง เหมาะกับผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง เนื้อผิวไม่เรียบ และผิวแห้งขาดน้ำ จึงต้องเติมเต็ม Hyaluronic Acid เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และลดริ้วรอยบางจุดที่เกิดขึ้น

จุดเด่น: ใช้เวลาทำไม่นาน สามารถปรับการฉีดให้เป็นไปตามเฉพาะบุคคล โดยวัดจากสภาพผิวและปัญหา
ผลลัพธ์: ผิวเนียน ชุ่มชื้นนาน และมีความฉ่ำ

7. โปรแกรมเลเซอร์ Picosecond Laser

การทำโปรแกรม Pico Laser เป็นการเลเซอร์เพื่อให้เม็ดสีที่ทำงานผิดปกติมีความแตกละเอียด ทำให้สีผิวมีความสม่ำเสมอขึ้น อีกทั้งสามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ด้วย เหมาะกับปัญหาฝ้า กระ รอยสิว และจุดด่างดำ

จุดเด่น: ฟื้นตัวไว ทำได้แม้มีเวลาน้อย ผิวใสขึ้น
ผลลัพธ์: ผิวใส เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ

การดูแลตัวเองให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น

เคล็ดลับดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ ให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น 

  1. ทากันแดดทุกวัน และครีมบำรุงอยู่เสมอ ป้องกันการเสื่อมสภาพของคอลลาเจน
  2. เลือกหัตถการให้เหมาะกับปัญหาและสภาพผิว
  3. เว้นระยะการทำตามคำแนะนำแพทย์
  4. ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ

สรุป

การดูแลตนเองโดยฟื้นฟูผิวหลังอายุ 30+ เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการใช้หัตถการหรือวิธีทางการแพทย์เข้ามาช่วย จะทำให้เห็นผลเร็วขึ้นกว่าการบำรุงในชีวิตประจำวันทั่วไป แต่เมื่อทำหัตถการแล้วควรหมั่นดูแลผิวอยู่เสมอ เพื่อให้ผิวกลับมามีปัญหาอย่างน้อยที่สุด

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย

Oligio คู่กับอะไรแล้วเวิร์ก?

Oligio คู่กับอะไรแล้วเวิร์ก?

โปรแกรม Oligio เป็นเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวมีความกระชับ เรียบเนียน ถึงแม้การทำโปรแกรม Oligio อย่างเดียวก็สามารถเห็นผลได้ แต่ในบางเคสหรือบางปัญหา การผสมผสานหรือการทำร่วมกับหัตถการอื่นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการของคนไข้มากขึ้น

Oligio กับ Ultraformer III

  • Ultraformer III ใช้เทคโนโลยี Micro & Macro Focused Ultrasound ที่ยิงพลังงานถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการศัลยกรรมยกหน้า เหมาะสำหรับการยกโครงหน้าและเก็บกรอบหน้า
  • Oligio ทำหน้าที่กระชับผิวชั้นตื้น เติมความแน่น และกระตุ้นคอลลาเจนในผิว

เมื่อนำทั้ง 2 เครื่องยกกระชับมาทำควบคู่กัน จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ยกกระชับจากชั้นลึกถึงชั้นตื้น โครงหน้าหรือกรอบหน้าเห็นชัดขึ้น ผิวมีความเฟิร์ม แน่น และกระชับ ด้วยความเป็นตัวเครื่องจึงเหมาะกับผู้ที่อยากทำหัตถการที่ยกกระชับผิวแต่กลัวเข็ม หรือกลัวเจ็บ เมื่อทำเสร็จแล้วอาจเห็นผลไม่มากนัก (ประมาณ 10-20%) เนื่องจากต้องรอให้กระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำงานไปเรื่อยๆ จนเห็นผลลัพธ์ที่ชัดที่สุดในช่วง 1-3 เดือน

Oligio กับ โบท็อกซ์

  • โบท็อกซ์ เป็นหัตถการที่นิยมมากในผู้ที่เริ่มเข้าวงการความงาม ตัวยามีผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว ช่วยลดริ้วรอยเฉพาะจุด เช่น หน้าผาก หางตา หรือริ้วรอยระหว่างคิ้ว อีกทั้งยังใช้สำหรับยกกระชับกรอบหน้า และสำหรับการลดกล้ามเนื้อกรามให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลง ในผู้ที่ต้องการฉีดเพื่อปรับรูปหน้า
  • Oligio ช่วยยกกระชับผิวทั่วใบหน้า

การทำ Oligio และ โบท็อกซ์ ควบคู่กันนั้นเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้มีความเรียวและเล็กลง อีกทั้งอยากลดริ้วรอยบริเวณใบหน้า ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้ผิวดูเรียบเนียน เต่งตึงขึ้นโดยใบหน้าไม่แข็งหรือเกร็งจนเกินไป *ที่สำคัญควรทำโปรแกรม Oligio ก่อนการทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ เนื่องจากหลังการฉีดโบท็อกซ์ควรหลีกเลี่ยงการกด นวด และถูบริเวณที่ฉีด เพื่อไม่ให้ตัวยาโบท็อกซ์กระจายไปยังบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ

Oligio กับ Filler

  • Filler เป็นการฉีดสาร Hyaluronic Acid เข้าไปในผิว เหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด เช่น ใต้ตาลึก แก้มตอบ ร่องแก้ม หรือบริเวณ Mid Face เพื่อยกกระชับใบหน้าโดยใช้ฟิลเลอร์
  • Oligio ช่วยเพิ่มความแน่นของผิวโดยรวม

การทำร่วมกันของ Oligio และ Filler จะช่วยให้ใบหน้าอิ่มฟู สดใส ดูมีมิติโดยเทคนิคการยกหน้า เหมาะกับผู้ที่มีใบหน้าทรุด และดูโทรม ต้องการให้ดูยกกระชับขึ้นโดยการทำเครื่อง และใช้ฟิลเลอร์ในการพยุงมวลกระดูกและเส้นเอ็นที่เสียไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งฟิลเลอร์ที่ใช้ในการยกหน้าควรเป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง และเห็นผลชัดหลังฉีด

Oligio กับ Profhilo

  • Profhilo เป็น Bio-Remodelling ที่มีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid บริสุทธิ์เข้มข้นสูง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูคุณภาพผิวภายใน
  • Oligio กระตุ้นคอลลาเจนและทำให้ผิวเฟิร์มกระชับขึ้น

การทำโปรแกรมฉีด Profhilo ควบคู่กับเครื่อง Oligio จะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่ชุ่มชื้น ผิวแห้งกร้านและขาดน้ำ ผิวหลวม หย่อนคล้อยไม่กระชับ เมื่อทำไปแล้วจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู และมีความกระจ่างใสแบบสุขภาพดี ทั้งยังได้ความกระชับเต่งตึงจากการทำเครื่องอีกด้วย

Oligio กับ Sculptra

  • Sculptra ตัวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว หรือ Collagen Biostimulator ที่สาร Poly-L-lactic acid (PLLA) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูโครงสร้างผิวระดับลึก โดยผลลัพธ์คือการที่ผิวมีความนุ่มเด้งและเต่งตึง คงอยู่ได้นานกว่า 25 เดือน
  • Oligio ช่วยยกกระชับ เพิ่มความเรียบเนียน

การทำ Oligio และ Sculptra ร่วมกัน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และริ้วรอยจากอายุ ต้องการการฟื้นฟูผิวในระยะยาว เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนกับผิวที่เห็นผลอย่างต่อเนื่อง

Oligio + Ultraformer III + Filler โปรแกรมยกหน้าดารา

โปรแกรมยกหน้าดารา สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก Kalm Clinic จึงได้ทำการรวม 3 หัตถการหลักที่เน้นการยกกระชับเข้าด้วยกัน ได้แก่

  • Ultraformer III ยกโครงหน้าและเก็บกรอบหน้าให้ชัด
  • Oligio ยกกระชับและเพิ่มความแน่นให้ผิว 
  • Filler เติมเต็มร่องลึก พยุงชั้นกระดูก คืนความสดใสให้ใบหน้า

ทำโปรแกรมนี้แล้วได้อะไร?

  1. กรอบหน้าชัดเจนขึ้น ช่วยยกกระชับโครงสร้างใบหน้า ทำให้ผิวไม่หย่อนคล้อย 
  2. ผิวแน่น กระชับ ดูสุขภาพดี เพราะมีการกระตุ้นคอลลาเจนทำให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนเล็กลง
  3. เติมเต็มร่องต่างๆ หรือบริเวณที่ใบหน้าดูตกด้วย Filler ทำให้ใบหน้าดูสดใส ไม่โทรม
  4. ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทุกชั้นผิว ตั้งแต่ผิวชั้นนอก ชั้นไขมัน ชั้นกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และอยู่ได้นานกว่าการทำเพียงอย่างเดียว

สรุป

เราสามารถทำ Oligio โปรแกรมเดียวได้ แต่การทำร่วมกับหัตถการอื่นๆ จะช่วยเสริมผลลัพธ์ให้เห็นชัดเจนมากขึ้น และช่วยแก้ไขปัญหาหลากหลายรูปแบบ แต่การเลือกทำกับหัตถการอื่นนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของแต่ละบุคคลด้วย

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย

XERF กับ Thermage ต่างกันอย่างไร เครื่องไหนดี?

XERF กับ Thermage ต่างกันอย่างไร เครื่องไหนดี?

เมื่ออายุเพิ่มขึ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวจะค่อยๆ ลดลง ทำให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับ การใช้ครีมบำรุงอาจช่วยได้เพียงระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาลึกถึงชั้นผิวได้ ทำให้การกระชับผิวด้วยเครื่องยกกระชับ เป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการดูแลตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด อย่าง XERF และ Thermage ที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ Monopolar RF ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

XERF คืออะไร?

XERF เป็นเครื่องยกกระชับผิวรุ่นใหม่จากประเทศเกาหลีใต้ ผลิตโดยบริษัท Aestellar Corporation Co., Ltd ที่มีการปรับปรุงให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น เจ็บน้อยลง แต่ยังคงให้พลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเป็นเทคโนโลยี Monopolar RF Dual-Frequency (6.78 MHz และ 2 MHz) ส่งพลังงานได้ลึก 3 ระดับ (ตื้น, กลาง, ลึก) ทำให้กระตุ้นคอลลาเจนได้ครอบคลุมหลายชั้นผิว อีกทั้งยังมีระบบให้ความเย็นที่ทำให้ใช้พลังงานสูงได้โดยที่ผิวชั้นนอกไม่บาดเจ็บ

XERF จึงเป็นเครื่องที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ในเรื่องความเร็ว ความสบาย และพลังงานที่มีประสิทธิภาพ

Thermage คืออะไร?

Thermage เป็นเครื่องมือยกกระชับผิวที่ผลิตโดยบริษัท Solta Medical International Inc ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นเทคโนโลยี Monopolar RF ที่ส่งพลังงานความร้อนลงไปในชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจนเก่า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ผลที่ได้คือผิวตึงกระชับขึ้น ริ้วรอยดูจางลง

เปรียบเทียบ XERF กับ Thermage

ตารางการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่าง XERF กับ Thermage

คุณสมบัติ

XERF Thermage
ผลิตโดย

Aestellar Corporation Co., Ltd ประเทศเกาหลีใต้

Solta Medical International Inc ประเทศสหรัฐอเมริกา
เทคโนโลยี Monopolar RF Dual-Frequency (6.78 MHz และ 2 MHz) Monopolar RF (6.78 MHz)
การลดความเจ็บ ใช้ ICD Cooling System ลดอุณหภูมิ และมีระบบปรับพลังงานอัตโนมัติ ช่วยลดความเจ็บ และมีระบบ Wave Fit Pulse ที่ปรับความถี่ของคลื่นตามปริมาณพลังงานที่ส่งออก ระบบ Cooling effect และพลังงานสั่น (Multi-Directional Vibration) เพื่อป้องกันผิวไหม้และลดความเจ็บขณะทำ

ระยะเวลาในการทำ

ประมาณ 15-30 นาทีขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อต)

ประมาณ 45-90 นาทีขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อต)

ผลลัพธ์

ยกกระชับทันทีบางส่วน และกระตุ้นคอลลาเจนต่อเนื่อง ทำให้ผิวแน่นขึ้น

ยกกระชับและเห็นผลบางส่วนทันที พร้อมคอลลาเจนที่สร้างใหม่ในช่วง 2-6 เดือน หลังทำ

ทำไมต้องทำ XERF

  1. XERF เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เป็น Dual-Frequency ที่ลงลึกได้หลายชั้นผิว เพื่อการแก้ปัญหาในหลายชั้น
  2. XERF มีคลื่นวิทยุความถี่อยู่ที่ 6.78 MHz และ 2 MHz ที่เครื่อง Monopolar RF อื่นๆ ยังไม่สามารถลงลึกได้ถึง 2 MHz
  3. ยิงได้เร็วกว่า ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า เนื่องจากหัว Effector มีขนาด 6cm²
  4. เจ็บน้อยลงแต่ยังได้ผลลัพธ์ที่ดี
  5. เหมาะกับคนที่กลัวเจ็บ อยากเห็นผลเร็ว และสะดวก

ทำไมต้องทำ Thermage

  1. Thermage เป็นเครื่องที่มีการใช้งานมานาน และได้รับการยอมรับทั่วโลก
  2. มีผลการรักษาที่ตอบโจทย์ปัญหา ทั้งความหย่อนคล้อยไม่กระชับ และปัญหากรอบหน้าไม่ชัด
  3. เหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นใจว่าเลือกเครื่องที่มาตรฐานสูง

XERF และ Thermage เหมาะกับใครบ้าง

XERF และ Thermage นั้นเหมาะกับผู้ที่มีปัญหา ดังนี้

  1. ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ
  2. ผู้ที่เริ่มมีปัญหาริ้วรอยเล็กๆ
  3. ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด
  4. ผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง เช่น แก้มและเหนียง
  5. ผู้ที่กลัวการผ่าตัด แต่อยากดูแลผิวหน้า

โดยทั่วไปจะเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่เริ่มกังวลเรื่องผิวไม่กระชับ

การพักฟื้น

เครื่องยกกระชับ XERF และ Thermage เป็นหัตถการที่เป็น Zero-Downtime ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันต่อได้ทันที แต่อาจมีรอยแดงเล็กน้อยหลังทำ และจะหายได้เองภายใน 1-2 ชั่วโมง หากมีอาการปวดสามารถใช้น้ำแข็งประคบได้ ที่สำคัญควรหมั่นทาครีมกันแดดและ Moisturizer เป็นประจำเพื่อปกป้องผิว

สรุป

XERF และ Thermage เป็นเทคโนโลยี Monopolar RF ที่มีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวและกระตุ้นคอลลาเจน แตกต่างกันตรงที่เครื่องยกกระชับ XERF เป็น Dual-Frequency ที่มีคลื่นความถี่ 6.78 MHz และ 2 MHz ทำให้สามารถลงลึกได้มากกว่า Thermage ส่วนการเลือกว่าควรทำเครื่องไหนดีนั้น ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว ความต้องการ และคำแนะนำจากแพทย์

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย

Oligio Vs Ultraformer III ต่างกันยังไง ทำไมทำคู่กันแล้วดี ?

Oligio Vs Ultraformer III ต่างกันยังไง ทำไมทำคู่กันแล้วดี ?

ปัจจุบันการยกกระชับใบหน้าเป็นเทรนด์ที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจ เนื่องจากไม่ต้องใช้เข็ม อีกทั้งมีหลายเทคโนโลยีที่ได้รับความไว้วางใจจากแพทย์และคนไข้ให้เลือกสรร โดยเครื่องที่กำลังเป็นที่นิยมในด้านความคุ้ม คือ Oligio และ Ultraformer III แม้จะมีเป้าหมายเกี่ยวกับการยกและกระชับที่คล้ายกัน แต่มีการทำงานและเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เมื่อทำร่วมกันจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

Oligio คืออะไร

Oligio เป็นเทคโนโลยี Monopolar RF (คลื่นวิทยุความถี่สูง) ที่ปล่อยพลังงานลงไปกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวชั้นหนังแท้ และชั้นไขมัน ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยกลับมาตึงแน่น รูขุมขนแลดูเล็กลง และผิวดูเรียบเนียนขึ้น

  • จุดเด่น: เน้นความแน่นและความเฟิร์มของผิว
  • เหมาะกับ: ผู้ที่รู้สึกว่าผิวเริ่มหลวม โทรม ไม่กระชับ ต้องการให้ผิวแน่นขึ้น

Ultraformer III คืออะไร

Ultraformer III เป็นเครื่องยกกระชับที่ใช้เทคโนโลยี Micro & Macro Focused Ultrasound ส่งพลังงานไปที่ชั้น SMAS (ชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิว) ช่วยยกโครงหน้าและเก็บกรอบหน้าให้ชัด

  • จุดเด่น: เน้นความยกของใบหน้า
  • เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการเก็บกรอบหน้าให้ชัด ยกแก้ม ยกคาง และปรับรูปหน้า

Oligio vs Ultraformer III ต่างกันยังไง

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างของ Oligio vs Ultraformer III โดยแบ่งเป็นหัวข้อดังนี้

คุณสมบัติ Oligio Ultraformer III
เทคโนโลยี Monopolar RF Micro & Macro Focused Ultrasound
การลดความเจ็บ ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Fat) ชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิว (SMAS)
จุดเด่น เพิ่มความเฟิร์มให้ผิวทุกชั้น และความร้อนจากตัวเครื่องจะช่วยให้ไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนังมีขนาดเล็กลง ยกกระชับโครงสร้างใบหน้าในชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิว
ผลลัพธ์ ผิวมีความแน่นขึ้น รูขุมขนเล็กลง คุณภาพผิวดีขึ้น หน้ายก ปรับรูปหน้าให้ได้รูป และกรอบหน้าชัดขึ้น
เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่แน่น ไม่กระชับ ผู้ที่ต้องการยกกรอบหน้า ลดริ้วรอยบางส่วน

ทำไมทำ Oligio กับ Ultraformer III คู่กันแล้วดี?

เนื่องจากปัญหาผิวและความหย่อนคล้อยไม่ได้เกิดจากชั้นผิวเพียงชั้นเดียว เพราะเกิดจากการที่คอลลาเจนในแต่ละชั้นผิวค่อยๆ หายไป การทำ Oligio และ Ultraformer III ร่วมกันจึงตอบโจทย์การแก้ปัญหาผิวได้ครบกว่า

1. แก้ปัญหาโครงสร้างผิวหย่อนคล้อยและผิวไม่แน่นไปพร้อมกัน

เมื่อมีปัญหากรอบหน้าเริ่มหาย แก้มตก มีแก้มและเหนียง เครื่อง Ultraformer III จะช่วย ยกกระชับผิวจากชั้น SMAS ทำให้รูปหน้าชัดขึ้น ส่วน Oligio จะเข้ามาดูแลผิวในชั้นอื่นๆ เพื่อให้ผิวแน่น แลดูสุขภาพดี

2. ได้ผลลัพธ์แบบ 2 in 1 ทั้งยกและฟื้นฟูผิว

หากทำ Ultraformer III อย่างเดียว ทำให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้นแต่ผิวยังมีความบางและไม่เฟิร์มอยู่ แต่การทำคู่กันจะช่วยให้ผิวที่ยกขึ้นนั้นดูเนียนละเอียดขึ้นด้วย Oligio

3. ผลลัพธ์อยู่ได้นาน

Ultraformer III และ Oligio จะช่วยให้เห็นผลของการยกผิวได้ทันทีในบางส่วน และชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 1-3 เดือนแรก ทำให้ผลของการยกกระชับนั้นคงอยู่ได้นานขึ้น และดูเป็นธรรมชาติ

เหมาะกับใคร

การทำ Oligio และ Ultraformer III คู่กัน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหลากหลายรูปแบบ นอกจากปัญหาผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อยแล้ว ยังมีปัญหาคุณภาพผิวที่เปลี่ยนไปอีกด้วย

  1. เหมาะกับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด แก้มล่างตก มุมปากตก หรือมีเหนียง Ultraformer III และ Oligio จะช่วยยกกรอบหน้าให้กลับมาคมชัด
  2. ผู้ที่เริ่มมีปัญหาหย่อนคล้อยทั้งโครงหน้าและผิว ทำให้รู้สึกผิวบางลง ไม่กระชับ เวลาส่องกระจกจะเห็นผิวที่ดูโทรม รวมทั้งการแต่งหน้าที่ไม่ติดทน Oligio และ Ultraformer III จะช่วยให้ผิวแน่นขึ้น รูขุมขนกระชับ และผิวดูเรียบเนียน
  3. ผู้ที่อยากได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมในครั้งเดียว ไม่อยากทำหัตถการหลายครั้งเพื่อแก้ทีละจุด แต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนทั้งรูปหน้าและผิวหน้า
  4. ผู้ที่กังวลเรื่องริ้วรอยและความหย่อนคล้อยในอนาคต การทำคู่กันจะช่วยชะลอการเสื่อมของผิว ทำให้ยังคงความอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น

สรุป

ถึงแม้ Oligio และ Ultraformer III จะเป็นเครื่องยกกระชับเหมือนกัน แต่มีจุดเด่นและเทคโนโลยี่ที่แตกต่างกัน การทำร่วมกันจึงให้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วน ทั้งการยกหน้าและการกระชับ ในเวลาเดียวกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและชัดเจน

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย