การฉีด Sculptra เป็นที่นิยมกันทั่วโลก เนื่องจากตัวยาสามารถกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิาภาพ แต่ปัจจุบันมีน้องใหม่อย่าง Profhilo เข้ามาเสริม ทำให้ผู้คนเปรียบเทียบทั้ง 2 ตัวมากขึ้น ในบทความนี้จะมาทุกคนมาทำความรู้จักตัวกระตุ้นคอลลาเจนอย่าง Sculptra และ Profhilo ว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร หากทำคู่กันแล้วผลลัพธ์จะน่าพอใจหรือไม่

Sculptra และ Profhilo คืออะไร

Sculptra

Sculptra เป็น Biostimulator ตัวแรกของโลก ที่มีส่วนประกอบเป็น PLLA (Poly-L-Lactic acid) ในรูปแบบผง ต้องนำมาผสมกับ Sterile Water ให้อยู่ในรูปแบบน้ำจำนวน 10CC สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากใต้โครงสร้างผิวไปเรื่อยๆ ส่งผลให้คุณภาพผิวดีขึ้น ยกกระชับ เต่งตึง และอิ่มฟู เนื่องจากมีคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า 25 เดือน

Profhilo

Profhilo เป็น Bio-Remodelling หรือสารฟื้นฟูคุณภาพของโครงสร้างผิวในทุกชั้น ในรูปแบบตัวยา 2CC เป็น HA ชนิดพิเศษ ช่วยปรับโครงสร้างและฟื้นฟูผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รักษาความหย่อนคล้อยของผิว ทำให้ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยต่างๆ ก็ดูจางลง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และซ่อมแซมผิวด้านบน เริ่มเห็นผลในช่วง 1 เดือน และจะเห็นผลเต็มที่ในระยะ 2 เดือน อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

Sculptra และ Profhilo ช่วยแก้ปัญหาอะไร

Sculptra
Sculptra ช่วยฟื้นฟูผิวหนังชั้นลึก เพื่อปรับโครงสร้างให้ผิวกลับมาแข็งแรง ดังนี้

  1. เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวมีความอิ่มฟู
  2. ยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย ทำให้ผิวเด้ง เต่งตึง 
  3. รูขุมขนเล็กลง ผิวเนียนขึ้น
  4. เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว และลดการเกิดริ้วรอย
  5. ช่วยให้ผิวดูอ่อนวัยขึ้น
  6. เพิ่มวอลลุ่มให้ผิว
Profhilo
การฉีด Profhilo จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างทุกชั้นผิว ทำให้เห็นผลดังนี้

  1. ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ
  2. ปรับปรุงความยืดหยุ่นและความกระชับของผิว
  3. ฟื้นฟูรอยแผลเป็นจากสิวหรือการบาดเจ็บ
  4. ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีขึ้น
  5. เพิ่มความชุ่มชื้น 

Sculptra และ Profhilo ทำคู่กันดีอย่างไร

เนื่องจากทั้ง 2 ตัวยามีการทำงานคนละแบบกัน Sculptra เน้นที่โครงสร้างผิวชั้นลึก เพิ่มความหนาแน่นให้ผิว ส่วน Profhilo สามารถฉีดในผิวชั้นตื้นได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในทุกชั้นผิว รวมถึงการเพิ่มความชุ่มชื้น หากฉีดคู่กันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษามากขึ้น ทำให้ผิวมีวอลลุ่มมากขึ้น อีกทั้งได้คุณภาพผิวที่ดูมีสุขภาพดีขึ้น เพราะ Profhilo จะช่วยเติมเต็มในส่วนที่ Sculptra ไม่สามารถนำตัวยาเข้าไปได้

หรือเหมาะกับผู้ที่เคยฉีด Sculptra ครบตามปริมาณที่แนะนำแล้ว ผิวมีความกระชับและแน่นเด้ง สามารถฉีด Profhilo เข้าไปเพิ่มได้ หากต้องการฟื้นฟูผิวอย่างต่อเนื่อง

สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง

Sculptra ส่วนใหญ่นิยมฉีดบริเวณด้านข้างของใบหน้า เพื่อให้มีความยกกระชับขึ้น พร้อมเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิวในระยะยาว

  1. บริเวณขมับ เพื่อแก้ปัญหาขมับตอบ ยกหางตาและคิ้วให้กระชับ ดูสดใสขึ้น
  2. บริเวณหน้าแก้ม เพื่อให้ผิวมีแน่น อิ่มฟู และเต่งตึงขึ้น พร้อมลดริ้วรอยร่องลึกต่างๆ  
  3. บริเวณกรอบหน้า เพื่อกระชับผิวบริเวณกรอบหน้า ทำให้มีความคมชัดและไม่หย่อนคล้อย

Profhilo สามารถฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ ดังนี้

  1. บริเวณใบหน้า เป็นจุดที่นิยมฉีดมากที่สุด ซึ่งแพทย์จะทำการฉีด Profhiolo บริเวณโหนกแก้ม ร่องแก้ม ข้างจมูก มุมปาก และขากรรไกรล่าง โดยจิ้มแค่ 5 จุดต่อใบหน้า 1 ข้าง 
  2. บริเวณลำคอ เมื่อผิวเกิดการเสื่อมคอลลาเจน จะทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ การฉีดจุดนี้จะทำให้ริ้วรอยเล็กๆ บริเวณลำคอดูจางลง

Sculptra และ Profhilo ต่างกันอย่างไร

ความแตกต่างของ Sculptra และ Profhilo ที่เห็นได้ชัดเจนคือส่วนผสม รูปแบบของตัวยา และการทำงาน แบ่งได้ตามหัวข้อดังต่อไปนี้

1. ส่วนประกอบ
Sculptra: PLLA (Poly-L-Lactic acid) สารที่สังเคราะห์จากพืช นิยมใช้ในแวดวงการแพทย์ มีความปลอดภัยสูง
Profhilo: HA (Hyaluronic Acid) ความเข้มข้นสูง เกิดจากการเชื่อมพันธะ มีความบริสุทธิ์สูง

2. การทำงาน
Sculptra: กระตุ้นคอลลาเจนบริเวณผิวชั้นลึก เน้นที่โครงสร้างภายใน
Profhilo: กระตุ้นคอลลาเจนทุกชั้นผิว

3. การแก้ไขปัญหาผิว
Sculptra: แก้ปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ให้ผิวกลับมาเตงตึง ยกกระชับ เพิ่มความแน่นให้แก่ผิว
Profhilo: เพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ

4. จำนวนครั้งที่ควรฉีด
Sculptra: ควรฉีดตามปริมาณที่แพทย์แนะนำ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอายุของแต่ละบุคคล เช่น อายุ 30 ปี ควรฉีด 2-3 ขวด, อายุ 40 ปี ควรฉีด 3-4 ขวด
Profhilo: ควรฉีดอย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป เพื่อการฟื้นฟูผิวอย่างต่อเนื่อง

5. ระยะเวลาของผลลัพธ์
Sculptra: เริ่มเห็นผลในระยะ 3 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นร่างกายจะกระตุ้นคอลลาเจนไปเรื่อยๆ อย่างลงตัว เห็นผลชัดเจนในช่วง 3 เดือน และอยู่ได้นานกว่า 25 เดือน *ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองและสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
Profhilo: เริ่มเห็นผลในช่วง 1 เดือนแรกหลังฉีด และเห็นผลชัดเจนในระยะ 2 เดือน อยู่ได้นาน 6-12 เดือน *ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองและสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคล

6. ผลข้างเคียงที่พบบ่อย และไม่อันตราย
Sculptra: อาจมีตุ่มเล็กๆ หรืออาการบวมบริเวณที่ฉีด สามารถหายเองได้
Profhilo: มีรอยแดงหลังจากฉีด สามารถหายเองได้

สรุป

การทำ Sculptra และ Profhilo คู่กัน ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวทุกชั้น ไม่ว่าจะเป็นหารเพิ่มความหนาแน่น กระชับ หรือการเพิ่มความชุ่มชื้น ลดความหย่อนคล้อย ลดริ้วรอย เนื่องจากการทำงานของทั้งคู่เป็นคนละแบบจึงสามารถฉีดร่วมกันได้ ซึ่งการเห็นผลของ Sculptra จะอยู่ได้นานกว่า 25 เดือน และ Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือน

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย