เครื่อง XERF เสิร์ฟความกระชับ เจ็บไหม? ควรทำกี่ช็อต?

เครื่อง XERF เสิร์ฟความกระชับ เจ็บไหม? ควรทำกี่ช็อต?

XERF ถือเป็นเครื่องยกกระชับใหม่ๆ ในประเทศไทย ทำให้ผู้คนอาจยังไม่รู้จักมากนัก ในบทความนี้จึงรวบรวมคำถามและสิ่งที่ต้องรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ XERF ดังนี้

XERF ปลอดภัยหรือไม่

XERF เป็นเครื่องยกกระชับที่ได้รับการรับรองจาก กระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาของประเทศเกาหลีใต้ (MFDS: Ministry of Food and Drug Safety) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านความปลอดภัย และมาตรฐานทางการแพทย์ของประเทศเกาหลี ดังนั้น การที่เครื่อง XERF ผ่านการรับรองจาก MFDS หมายความว่า

  1. ตัวเครื่องมีความปลอดภัยในการใช้งานจริง
  2. ผ่านการตรวจสอบด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ
  3. ได้มาตรฐานจากการอนุมัติโดยหน่วยงานสาธารณสุขในระดับสากล

เพราะฉะนั้นเราจึงมั่นใจได้ว่า XERF เป็นหัตถการที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และอยู่ภายใต้การควบคุมมาตรฐานทางการแพทย์

XERF ใช้เวลาทำนานเท่าไหร่

การทำหัตถการโดยใช้หัว XERF Effector 60 ที่มีขนาด 20×30 mm. (จำนวน 600 ช็อตต่อ 1 หัว) นั้นถูกออกแบบมาสำหรับการยกกระชับบริเวณที่มีพื้นที่กว้างหรือมีความหนาของผิวมาก เช่น บริเวณแก้ม กรอบหน้า หรือกราม มักต้องใช้พลังงานเยอะๆ ในการกระชับผิว และหัวนี้สามารถกระจายพลังงานได้อย่างครอบคลุม จึงช่วยให้การรักษาเห็นผลอย่างมีประสิทธิภาพและใช้เวลาน้อยลง โดยเครื่อง XERF ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อตหรือบริเวณที่ต้องการยกกระชับ ตัวอย่างเช่น

1. ถ้าทำ XERF เฉพาะกรอบหน้า อาจใช้เวลาเพียง 15 นาที
2. ถ้าทำ XERF ทั้งใบหน้าและลำคอ อาจใช้เวลาประมาณ 30 นาทีขึ้นไป

ควรทำ XERF กี่ช็อต

จำนวนช็อต (shots) และระยะเวลาในการทำ XERF จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์สภาพผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงบริเวณที่ต้องการรักษา เช่น บริเวณแก้ม หน้าผาก คอ หรือกรอบหน้า ซึ่งแต่ละส่วนจะใช้จำนวนช็อตและเวลาไม่เท่ากัน

โดยเครื่อง XERF มีหัว Effector ที่ถูกออกแบบให้เหมาะกับชั้นผิวและปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น
1. ผิวชั้นตื้น: ปรับสภาพผิวชั้นหนังแท้ส่วนบน ลดริ้วรอยเล็กๆ
2. ผิวชั้นกลาง: เน้นยกกระชับโครงหน้า ลดความหย่อนคล้อย
3. ผิวชั้นลึก: ปรับโครงสร้างผิวชั้นลึกให้ผิวมีความกระชับขึ้น
4. ตำแหน่งเฉพาะ: เช่น รอบดวงตา มุมปาก และอื่นๆ

ทำให้การทำ XERF 600 ช็อตนั้นเทียบเท่าการทำเครื่องยกกระชับ Monopolar RF อื่นๆ ถึง 900 ช็อต เนื่องจากบริเวณหัวยิงนั้นมีขนาดกว้างขึ้น ทำให้ครอบคลุมตามบริเวณที่ต้องการแก้ไข และสามารถลงลึกได้ทุกชั้นผิว

ทำ XERF เจ็บไหม

เครื่องยกกระชับ XERFerf มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัตโนมัติหลายระบบ ที่ช่วยลดความเจ็บระหว่างทำ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา (สำหรับผู้ที่กลัวความเจ็บ สามารถทายาชาก่อนการทำหัตถการได้)

1. ICD Cooling System ระบบทำความเย็นที่ปล่อยความเย็นลงสู่ผิวตรงจุดที่ยิงพลังงาน ช่วยปกป้องผิวชั้นบน ลดความร้อน และทำให้รู้สึกสบายตลอดการทำ
2. Wave Fit Pulse Technology เทคโนโลยีที่คอยตรวจวัดและควบคุมการปล่อยพลังงานอย่างแม่นยำ พร้อมปรับสมดุลระหว่างพลังงานกับความเย็น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยที่สุด

ซึ่งการทำงานร่วมกันของ 2 เทคโนโลยีนี้ มีผลทำให้การทำหัตถการ XERF เจ็บน้อยลง เหมาะสำหรับคนที่กังวลเรื่องความเจ็บปวดจากหัตถการยกกระชับ

XERF กับ Thermage ต่างกันอย่างไร

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างของ XERF และ Thermage

คุณสมบัติ XERF Thermage
เทคโนโลยี Monopolar RF Dual-Frequency (6.78 MHz และ 2 MHz) Monopolar RF (คลื่นวิทยุความถี่สูง)
การลดความเจ็บ ใช้ ICD Cooling System ลดอุณหภูมิ และมีระบบปรับพลังงานอัตโนมัติ ช่วยลดความเจ็บ และมีระบบ Wave Fit Pulse ที่ปรับความถี่ของคลื่นตามปริมาณพลังงานที่ส่งออก ระบบ Cooling effect และพลังงานสั่น (Multi-Directional Vibration) เพื่อป้องกันผิวไหม้และลดความเจ็บขณะทำ 
ระยะเวลาในการทำ ประมาณ 15-30 นาที (ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อต) ประมาณ 45-90 นาที (ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อต)
ผลลัพธ์ ยกกระชับทันทีบางส่วน และกระตุ้นคอลลาเจนต่อเนื่อง ทำให้ผิวแน่นขึ้น ยกกระชับและเห็นผลบางส่วนทันที พร้อมคอลลาเจนที่สร้างใหม่ในช่วง 2-6 เดือน หลังทำ

สรุป

  • XERF เหมาะสำหรับคนที่อยากยกกระชับแต่กลัวเจ็บ เพราะเครื่องมีระบบ Cooling ที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บ และใช้เวลาทำที่เร็วกว่า
  • Thermage เหมาะกับคนที่ทำเครื่องยกกระชับมาในระยะหนึ่งจนคุ้นชินกับความเจ็บ เพราะผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน เป็นเทคโนโลยี Monopolar RF เหมือนกัน

คำแนะนำหลังทำเครื่อง XERF

การทำ XERF เป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้น (Zero Downtime) เพราะเครื่องจะส่งพลังงานเข้าสู่ผิวในระดับที่เหมาะสม โดยไม่ทำให้เกิดบาดแผลหรือรอยแผลเป็นหลังทำ ดังนั้นหลังจากทำเสร็จแล้ว สามารถกลับใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที เช่น แต่งหน้า ไปทำงาน พบปะผู้คน หรือทำกิจกรรมต่างๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแดง หรืออาการบวมช้ำเหมือนการทำหัตถการอื่นๆ

คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีหลังทำ XERF

แม้การทำ XERF จะไม่มีข้อจำกัดเรื่องการดูแล แต่หากต้องการให้ผิวฟื้นฟูและกระชับ พร้อมเห็นผลชัดขึ้น เราสามารถดูแลตัวเองง่ายๆ ได้ดังนี้

  1. ดื่มน้ำให้พอเหมาะ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
  2. ทาครีมบำรุงผิวหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ
  3. ใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด และมลภาวะ
  4. หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า การออกกำลังกายหนัก หรือความร้อนจัดใน 24 ชั่วโมงแรก

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย

Profhilo ทางเลือกใหม่สายผิวสวยสุขภาพดี

Profhilo ทางเลือกใหม่สายผิวสวยสุขภาพดี

การมีหน้าสดที่แลดูสดชื่นและสดใส เป็นสิ่งที่หลายคนนั้นอยากมี จำเป็นต้องใช้สกินแคร์และหัตถการช่วยดูแล โดยโปรแกรม Profhilo สกินบูสเตอร์ที่ช่วยปลุกผิวของเราให้แข็งแรงจากภายใน คือหนึ่งทางเลือกสำหรับสายงานผิวสวยสุขภาพดี

รู้จักกับ Profhilo

Profhilo เป็น Bio-Remodelling หรือสารฟื้นฟูคุณภาพของโครงสร้างทุกชั้นผิว เริ่มเข้ามาในประเทศไทยช่วงปลายปี 2024 และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเป็นการรวมกันของ HA บริสุทธิ์เข้มข้น ช่วยปรับและฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้กลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยให้ผิวกระชับขึ้น ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และซ่อมแซมผิวด้านบน เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของการมีผิวสวยสุขภาพดีจากภายใน ไม่ใช่แค่การฉีดเพื่อความสวย แต่คือการฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น

5 เหตุผลที่ทำให้ Profhilo เป็นตัวเลือกของสายผิวสวยสุขภาพดี

ในยุคที่ใครๆ ก็อยากสวยแบบไม่ต้องพยายามเยอะ การแต่งหน้าปกปิดแบบหนาๆ หรือพึ่งเมคอัพทุกวันอาจไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์ ทำให้หลายคนหันมาโฟกัสที่เทรนด์งานผิวจริงมากขึ้น เช่น ตื่นมาแล้วหน้าใส ผิวแน่น รูขุมขนเล็กแบบไม่ต้องปกปิด โดยการใช้สกินแคร์ การมาสก์หน้า และอีกหนึ่งในตัวช่วยที่กำลังน่าสนใจตอนนี้คือ Profhilo

ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ Profhilo เป็นตัวเลือกของสายผิวสวยสุขภาพดี คือ

1. เทรนด์งานผิวแบบธรรมชาติกำลังมาแรง ทำให้ผู้คนไม่อยากแต่งหน้าหนา และอยากมีผิวดีตลอดทั้งวัน ซึ่ง Profhilo ตอบโจทย์ปัญหานี้ได้ดีมาก เพราะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูอิ่มน้ำจากภายใน ผิวจะดูโกลว์และฉ่ำขึ้นจากส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid (HA) บริสุทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูง มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี

2. คนที่อยากมีใบหน้าที่ดูแน่น กระชับ ไม่บวม และไม่โป๊ะ เพราะ Profhilo เป็นสารฟื้นฟูที่จะเข้าไปกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวหน้าดูแน่นขึ้น กระชับขึ้น และดูเด็กลงเพราะริ้วรอยที่จางลง เหมาะกับคนที่อยากดูดีแบบธรรมชาติ

3. ช่วยฟื้นฟูผิวจากคนที่ผิวบอบบาง ผิวลอก ผิวโทรม และเกิดอาการแพ้ได้ง่าย เนื่องจาก Profhilo มี Hyaluronic Acid (HA) ความเข้มข้นสูงถึง 64 มิลลิกรัม ที่มากกว่าสกินบูสเตอร์ทั่วไป ช่วยเติมน้ำและกระจายสู่โครงสร้างผิวทุกชั้น จึงช่วยปลอบประโลมเซลล์ผิวที่อ่อนล้าให้กลับมาแข็งแรงขึ้นได้

4. ใช้เวลาฉีดไม่นาน ไม่ต้องเจ็บตัวบ่อย เพราะ Profhilo ใช้จุดฉีดเพียง 5 จุดต่อข้าง (รวม 10 จุดทั่วหน้า) เพื่อให้ตัวยากระจายได้ทั่วถึง โดยปกติจะนิยมฉีดให้ครบ 2 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน จากนั้นผิวจะดีขึ้นเรื่อยๆ เหมาะกับคนที่กลัวเข็มหรือไม่อยากเจอเข็มบ่อย แต่ก็ยังอยากดูแลผิวตัวเอง

5. ยิ่งทำยิ่งสวยขึ้น เนื่องจาก Profhilo ไม่ใช่หัตถการปรับรูปหน้าในทันที แต่เป็นการฟื้นฟูผิวระยะยาว ยิ่งทำผิวยิ่งสุขภาพดี เหมาะกับคนที่อยากดูแลผิวตั้งแต่อายุ 25 ขึ้นไป

ฉีด Profhilo เจ็บไหม

การทำโปรแกรมฉีด Profhilo อาจมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละบุคคล แต่ก่อนการทำหัตถการจะมีการแปะยาชาและฉีดยาชาเพื่อให้รู้สึกเจ็บน้อยลง หรือไม่เจ็บเลย เนื่องจากฉีดเพียง 10 ตำแหน่ง

Profhilo อยู่นานแค่ไหน

Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือน เมื่อฉีดครบ 2 ครั้งตามปริมาณที่แนะนำ เมื่อครบ 6 หรือ 12 เดือน สามารถฉีดเพิ่มได้ เพื่อกระตุ้นให้ผิวได้รับการฟื้นฟูมากยิ่งขึ้น

รีวิว Profhilo

สรุป

เหตุผลที่ทำให้ Profhilo เป็นทางเลือกสำหรับสายผิวสวยสุขภาพดี คือ เทรนด์งานผิวที่กำลังมาแรง คนเริ่มอยากโชว์หน้าสดตัวเองมากขึ้น Profhilo ช่วยให้ผิวมีความแน่นและกระชับขึ้น ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ใช้เวลาทำไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้น และยิ่งทำยิ่งสวย ซึ่งผลลัพธ์ของการฉีดจะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล อยู่ได้นานกว่า 6-12 เดือน และสามารถฉีดเพิ่มได้ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มเติม

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย

Oligio ไม่ต้องรอผิวหย่อนคล้อยแล้วค่อยแก้ไข

Oligio ไม่ต้องรอผิวหย่อนคล้อยแล้วค่อยแก้ไข

ผิวของเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน จากการใช้ชีวิตประจำวันและการดูแลตัวเอง แน่นอนว่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ปัญหาผิวที่จะตามมาคือการเกิดความหย่อนคล้อย ซึ่งเทคโนโลยีกระชับผิวอย่าง Oligio สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวที่มากเกินไป

ผิวหย่อนคล้อยไม่กระชับ เกิดจากอะไร

ผิวหย่อนคล้อยและไม่กระชับ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

ผิวหย่อนคล้อย

1. อายุเพิ่มขึ้น
ร่างกายของเราจะสามารถผลิตคอลลาเจนได้ตามธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เนียนละเอียด และกระจ่างใสไร้ริ้วรอย แต่เมื่ออายุครบ 25 ปีขึ้นไป กระบวนการเหล่านี้จะเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ คอลลาเจนที่เคยมีเยอะก็ลดลง จนผิวเกิดความไม่กระชับ มีริ้วรอย

2. ความเครียด
ความเครียดส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สามารถทำลายคอลลาเจนในผิวได้ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจนที่จะช่วยให้ผิวของเรากระชับ เต่งตึง และแข็งแรงนั้นลดลง อีกทั้งการขมวดคิ้วแบบไม่รู้ตัวเมื่อเกิดความเครียด ก็จะทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณหัวคิ้วและหน้าผาก

3. ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่เกิดขึ้นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ในช่วงวัยรุ่นจะผลิตออกมาจำนวนมาก เพื่อช่วยให้ผิวดูเต่งตึง เมื่อเวลาผ่านไปประสิทธิภาพในการผลิตฮอร์โมนจะลดลง จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

4. พักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนในเวลาที่พอเหมาะจะช่วยให้ร่างกายหลั่ง Growth Hormone ออกมา ทำให้ร่างกายเราได้รับการฟื้นฟู ผิวดูอ่อนเยาว์ เมื่อนอนพักผ่อนไม่เพียงพอหรือนอนน้อย จะทำให้ร่างกายดูโทรม ไม่สดใส ผิวหย่อนคล้อย

5. มลภาวะที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน
มลภาวะต่างๆ เช่น แสงแดด ฝุ่น ควัน และอื่นๆ มีส่วนทำให้ผิวมีอายุมากขึ้น เนื่องจากแสงแดดจะเข้าไปกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระ

ทำไมต้อง Oligio

Oligio ใช้เทคโนโลยี Monopolar RF ยิงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่แพทย์ใช้ผ่าตัดดึงหน้า
แต่ต่างจากการผ่าตัดคือทำ Oligio แล้วไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้น
เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ คืนความแน่น ความเฟิร์มให้ผิว อีกทั้งยังสามารถช่วยสลายไขมันส่วนเกินบริเวณชั้นไขมันได้ด้วย

1. Oligio ช่วยให้ผิวมีความกระชับ เต่งตึง และเรียบเนียนขึ้น จากการยกกระชับของเทคโนโลยี
2. Oligio ช่วยกรอบหน้าชัดขึ้นจากการยกกระชับ
3. สามารถทำ Oligio ได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 20 ต้นๆ หรือ 25 ขึ้นไป เพราะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลของคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้เริ่มหย่อนคล้อย มีความหลวม
4. Oligio เจ็บน้อย ดูแลง่าย ไม่ต้องพักฟื้น

  • เจ็บน้อยเพราะทำแล้วจะรู้สึกถึงความอุ่นๆ มากกว่าความเจ็บ รวมทั้งมีการทายาชาก่อนทำหัตถการเพื่อบรรเทาความเจ็บระหว่างทำ
  • ดูแลง่าย เมื่อทำหัตถการเสร็จแล้วสามารถแต่งหน้าได้ หรือทาครีมกันแดด และสกินแคร์ที่ใช้เป็นประจำวันได้ แต่ควรเว้นการทำหัตถการประเภทเลเซอร์หรืออบซาวหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังทำ
  • ไม่ต้องพักฟื้น เพราะทำเสร็จแล้วไม่ต้องห่วงเรื่องการดูแลรักษาแผล สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้เลย

5. ใบหน้าได้รูป ลดแก้มและเหนียงได้ เพราะ Oligio จะช่วยยกกระชับผิวและกล้ามเนื้อ เพื่อให้ผิวที่เริ่มมีปัญหาหย่อนคล้อยนั้นยกขึ้น หรือแก้มที่เคยป่องก็ดูเล็กลง
6. Oligio ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ หลังทำอาจเห็นผลที่เปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย แต่คุณภาพผิวจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วง 1-3 เดือน และจะคงอยู่นานประมาณ 9-12 เดือน สามารถทำซ้ำได้ 1-2 ครั้งต่อไป

เริ่มทำ Oligio ตั้งแต่ต้นเห็นผลไวกว่า ฟื้นฟูง่ายกว่า

แน่นอนว่าการทำ Oligio ตั้งแต่เนิ่นๆ มีข้อดีในด้านการเห็นผลไว และฟื้นฟูได้ง่าย เพราะผิวเดิมของเรายังมีความยืดหยุ่นดี การตอบสนองต่อการรักษาจึงดีตามไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นการรักษาผิวหน้าให้คงเดิมได้นานที่สุด การเริ่มยกกระชับผิวตั้งแต่ยังไม่เห็นปัญหา หรือมีปัญหาเพียงเล็กน้อยคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด

ทำ Oligio ตอนผิวหย่อนคล้อยจะเห็นผลไหม

เมื่อผิวเกิดความหย่อนคล้อยแล้ว สามารถทำ Oligio ให้เห็นผลได้แต่อาจจะต้องใช้จำนวนช็อตที่มากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด หรืออาศัยกับการทำ Oligio ร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น

1. Oligio กับ Ultraformer III ในผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลาง
2. Oligio กับ ฟิลเลอร์ ในผู้ที่อยากได้การเสริมหรือพยุงชั้นกระดูก ทำให้ใบหน้าดูยกขึ้น มีชีวิตชีวามากขึ้น
3. Oligio กับกลุ่ม Biostimulator อย่าง Sculptra และ Profhilo ในผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ให้ผลิตเรื่อยๆ และคงอยู่ได้นานขึ้น เพราะกลุ่ม Biostimulator จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 ทำให้ผิวกลับมาอ่อนเยาว์ ยกกระชับที่โครงสร้างภายใน

Oligio เหมาะกับช่วงอายุไหนบ้าง

1. ช่วงอายุ 25-30 ปี เริ่มดูแลก่อนผิวเปลี่ยน
เป็นวัยที่คอลลาเจนเริ่มเสื่อมลง ผิวไม่แน่นเหมือนที่เคยเป็น กรอบหน้าเริ่มไม่ชัดเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น นอนดึก กินเยอะ ทำงานหนัก หรือความเครียด Oligio จึงเหมาะกับวัยนี้เพราะช่วยยกกระชับผิว สลายไขมันส่วนเกิน ชะลอความหย่อนคล้อย และดูแลโครงหน้าให้คงรูปไว้ได้นานขึ้น
2. ช่วงอายุ 30-40 ปี ยกกระชับผิวที่เริ่มเปลี่ยน
ช่วงอายุ 30-40 เป็นวัยที่เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง เช่น ร่องแก้มลึก มุมปากตก ใบหน้ามีความคล้อยมากขึ้น Oligio จึงตอบโจทย์เพราะช่วยยกกระชับชั้นลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล เจ็บน้อย และได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นๆ หากต้องการแก้ไขได้ครบทุกปัญหา

3. ช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป ฟื้นฟูโครงสร้างผิว
เป็นวัยที่โครงสร้างผิวเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เพราะคอลลาเจนที่เสียไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น Oligio จึงเหมาะกับการยกกระชับและฟื้นฟูผิว แต่ต้องใช้จำนวนช็อตที่มากขึ้น สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ หากต้องการการฟื้นฟูที่ครบถ้วน

สรุป

Oligio เป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้น เจ็บน้อย ไม่มีแผล แต่สามารถยกกระชับและลดขนาดไขมันส่วนเกินได้ด้วยเทคโนโลยี Monopolar RF และไม่ได้ทำให้เราหน้าเปลี่ยน แต่ช่วยให้เรากลับไปเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่สดใสขึ้น การทำ Oligio จึงสามารถทำได้ทุกช่วงวัยที่อยากดูแลผิว ป้องกันความหย่อนคล้อยของผิว เพราะจะทำให้ดูมีอายุ แต่การที่เราเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้สภาพผิวของเรามีความเฟิร์มกระชับได้นานขึ้น

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย

โปรแกรมยกหน้าดารา ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก ดีอย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

โปรแกรมยกหน้าดารา ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก ดีอย่างไร ? เหมาะกับใคร ?

ใบหน้าที่เรียวและกระชับ ต้องอาศัยการดูแลจากโครงสร้างของใบหน้า เพราะการยกหน้าให้สวยอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่ง แต่คือศิลปะที่ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในชั้นผิว โครงสร้างใบหน้า และการเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะกับแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง

Kalm Clinic จึงได้พัฒนาโปรแกรมยกหน้าดาราขึ้นมา ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าของเรา “ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก”

โปรแกรมยกหน้าดาราคืออะไร

โปรแกรมยกหน้าดารา The First & Original by Kalm Clinic เป็นโปรแกรมที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน โดยอิงจากทักษะ ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ของคุณหมอที่ได้เดินทางไปศึกษางาน ดูเทรนด์ความงาม และเทคนิคใหม่ๆ จากหลากหลายประเทศ เพื่อนำมาผสานกับความเข้าใจในโครงสร้างผิวของคนไทย จนเกิดเป็นโปรแกรมเฉพาะของคลินิก

โดยโปรแกรมยกหน้าดารา จะรวมหลายหัตถการที่สามารถทำร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องของการยกกระชับ ฟื้นฟู เติมเต็ม หรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพราะความสวยไม่ใช่เรื่องของโชค แต่คือการออกแบบอย่างมีศิลปะและความเข้าใจ

จุดเด่นของโปรแกรมยกหน้าดารา

เนื่องจากโปรแกรมยกหน้าดาราประกอบไปด้วยหลายหัตถการ แต่ละหัตถการจะมีจุดเด่นและข้อดีที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. Oligio ลดแก้ม ลดเหนียง จัดการชั้นไขมันด้วยคลื่น RF
เทคโนโลยี Monopolar RF ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวตื้นได้อย่างนุ่มนวล ให้ความรู้สึกสบาย ไม่เจ็บ และคลื่นความร้อนจากตัวเครื่องสามารถเข้าไปลึกถึงชั้นไขมัน เพื่อช่วยลดไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนังได้อีกด้วย เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย และมีแก้มหรือเหนียงเยอะ

2. Ultraformer III ยกกระชับชั้น SMAS
หัตถการที่ได้รับความนิยม ด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ (Micro & Macro Focused Ultrasound) ที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้สำหรับการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้หน้ายกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาแก้มหย่อน กรอบหน้าไม่ชัด

3. ฟิลเลอร์ยกหน้า เสริมโครงสร้าง และเพิ่มมิติให้ใบหน้า
การเติมเต็มผิวหรือยกหน้าด้วยฟิลเลอร์ ในโปรแกรมยกหน้าดาราจะช่วยแก้ปัญหาใบหน้าแลดูหย่อนคล้อย หน้าตอบ หน้าล้า ร่องลึก ซึ่งฟิลเลอร์จะเข้ามาช่วยพยุงเส้นเอ็น Retaining Ligament เพื่อให้โครงสร้างผิวกลับมากระชับได้ โดยคุณหมอของ Kalm Clinic เน้นการปรับโครงสร้างหน้าให้ดูละมุน เป็นธรรมชาติ ไม่โป๊ะ และเน้นผลลัพธ์ที่ลูกค้าพึงพอใจ

4. Profhilo ฟื้นฟูผิวในระดับเซลล์
นวัตกรรม Hya เข้มข้นที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และความชุ่มชื้นในผิว เรียกได้ว่าเป็นสารฟื้นฟูคุณภาพของโครงสร้างผิวในทุกชั้น เหมาะกับผู้ที่ผิวดูโทรม ผิวขาดน้ำ หรือเริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ ช่วยให้ผิวแน่นกระชับขึ้น ฉ่ำวาวขึ้น

5. Sculptra ยกกระชับจากข้างในด้วยพลังของคอลลาเจน
ตัวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ทำงานลึกถึงชั้นลึกสุดของผิว ทำให้โครงสร้างผิวมีความยกกระชับอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เห็นผลลัพธ์ในระยะยาว เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูใบหน้าในแบบที่ดูไม่เปลี่ยนไปทันที แต่เปลี่ยนอย่างละมุน และผิวดูตึงกระชับไปเรื่อยๆ

โปรแกรมยกหน้าดาราเหมาะกับใคร

โปรแกรมยกหน้าดาราเหมาะกับ

  1. ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ
  2. ผู้ที่มีแก้มหรือเหนียงเยอะ และอยากลดไขมันส่วนเกินเหล่านี้
  3. ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด
  4. ผู้ที่ต้องการให้ใบหน้ามีความยก หรือ Lifting ขึ้น
  5. ผู้ที่มีคุณภาพผิวไม่สมดุล ผิวแห้งขาดน้ำ แลดูไม่สดใส
  6. ผู้ที่ต้องการเพิ่มความแน่น และอิ่มฟูให้กับโครงสร้างผิว

ทำไมต้อง “โปรแกรมยกหน้าดารา” ที่ Kalm Clinic?

ทุกการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ทุกขั้นตอนการทำหัตถการ และทุกเทคนิคที่ Kalm Clinic เลือกใช้ในโปรแกรมยกหน้าดารา ผ่านการคิด วิเคราะห์ และประเมินอย่างละเอียด โดยการทำความเข้าใจในโครงสร้างใบหน้าเฉพาะบุคคล หรือ ดูแลแบบบ Case by Case เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

1. โปรแกรมยกหน้าดาราออกแบบโดยคุณหมอผู้มีประสบการณ์
คุณหมอของ Kalm Clinic เดินทางไปเข้าร่วมงานประชุมทางการแพทย์ และ Workshop เชิงลึกในหลายประเทศ เพื่อศึกษาเทรนด์ เทคนิค และเครื่องมือใหม่ๆ จากแพทย์ระดับโลก แล้วนำมาปรับให้เหมาะกับปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล จนกลายมาเป็น “โปรแกรมยกหน้าดารา”

2. รวมหลายหัตถการสุดจึ้งไว้ในครั้งเดียว
โปรแกรมยกหน้าดาราไม่ได้เน้นแค่ยกหน้า แต่ดูแลครอบคลุมหลายปัญหา ทั้งยกกระชับผิว เติมเต็ม ฟื้นฟูความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจน ดูแลผิวในชั้นตื้นและชั้นลึก ด้วย Oligio, Ultraformer III, ฟิลเลอร์, Profhilo และ Sculptra ในสัดส่วนที่ออกแบบเฉพาะบุคคล

3. เน้นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ดูดีอย่างมั่นใจในทุกมุม
ทุกๆ การทำหัตถการ จะเน้นทั้งผลลัพธ์ที่เหมาะสม และผลลัพธ์ที่ลูกค้าต้องการ ให้มั่นใจว่า Kalm Clinic เปรียบเสมือนเพื่อนที่อยากมาปรึกษาปัญหา และหาวิธีแก้ไขร่วมกันอย่างดีที่สุด

4. ดูแลให้ปลอดภัยด้วยทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์
ทุกเคสดูแลโดยแพทย์ผู้ผ่านการเทรนนิ่งจากบริษัทโดยตรง และมีประสบการณ์หลายเคส

5. มาตรฐานระดับคลินิกพรีเมียม ที่ให้ความรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่มา
Kalm Clinic ให้ความสำคัญทั้งเรื่องผลลัพธ์ และความรู้สึกของคนไข้ ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น ผ่อนคลาย และการดูแลที่เป็นส่วนตัวในทุกขั้นตอน เพราะเราบริการด้วยใจ ไม่ใช่แค่รักษา

โปรแกรมยกหน้าดารา รีวิว

รีวิวโปรแกรมยกหน้าดารา

ราคาโปรแกรมยกหน้าดารา

ราคาโปรแกรมยกหน้าดารา The First & Original by Kalm Clinic มีดังนี้

  1. Ultraformer III 400 Shots + Oligio 200 shots ราคา 15,900.-
  2. Ultraformer III 400 Shots + Oligio 400 shots ราคา 25,900.-
  3. Ultraformer III 600 Shots + Oligio 600 Shots ราคา 40,900.-
  4. และโปรโมชันอื่นๆ หน้าเพจ

สรุป

โปรแกรมยกหน้าดารา คือโปรแกรมที่จะช่วยให้ใบหน้าของเรา “ยกทุกชั้นตั้งแต่ผิวยันกระดูก” โดยเกิดจากการรวมตัวกันของหัตถการที่เน้นการฟื้นฟูผิว ยกกระชับ เติมเต็ม กระตุ้นคอลลาเจน และดูแลจากโครงสร้างภายใน เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีแก้มและเหนียง กรอบหน้าไม่ชัด คุณภาพผิวไม่สมดุล หรือต้องการให้ใบหน้ามีความยกกระชับขึ้น

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย

ขอบตาคล้ำ ใต้ตาลึก มีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร ควรทำอย่างไรดี ?

ขอบตาคล้ำ ใต้ตาลึก มีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร ควรทำอย่างไรดี ?

ปัญหาขอบตาคล้ำ ขอบตาดำ หรือใต้ตาลึก เป็นสิ่งที่พบได้ในทุกช่วงอายุ ทำให้ใบหน้าดูไม่สดชื่น อ่อนเพลีย ดูมีอายุ ส่วนใหญ่ผู้คนอาจจะคิดว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ความจริงแล้วสาเหตุของใต้ตาคล้ำสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งปัจจุบันมีหลายวิธีที่จะทำให้ใต้ตาคล้ำกลับมาสดใสได้ ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล

ใต้ตาคล้ำเกิดจากอะไร?

ปัญหาใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ (Dark Circles) คือการที่ผิวหนังรอบดวงตามีสีที่เข้มหรือคล้ำขึ้น อันเนื่องมาจากหลายปัจจัย ดังนี้

  1. ใต้ตาคล้ำจากพันธุกรรม โครงสร้างผิวหนังบริเวณใต้ตาที่บางจากกรรมพันธุ์ ส่งผลให้เห็นเส้นเลือดดำที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ชัดเจน จนปรากฏเป็นรอยคล้ำที่มองเห็นได้ชัดขึ้น
  2. ใต้ตาคล้ำจากภูมิแพ้ อาการคันรอบดวงตา หรือการขยี้ตา จากโรคภูมิแพ้สามารถทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ตาแตกและเกิดรอยคล้ำ ขอบตาดำได้
  3. ใต้ตาคล้ำจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับไม่สนิทหรือนอนน้อยกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำใต้ตา หรือใต้ตาลึกได้
  4. ใต้ตาคล้ำจากอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังจะลดลง ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและมีความบางลง อีกทั้งไขมันบริเวณใต้ตาก็ลดลงเช่นกัน ส่งผลให้เกิดเป็นร่องลึกและเห็นความคล้ำชัดเจนขึ้น
  5. ใต้ตาคล้ำจากแสงแดด การสัมผัสแสงแดดโดยไม่มีการป้องกันจะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้ขอบตามีความคล้ำขึ้นได้
  6. ใต้ตาคล้ำจากการขาดน้ำ เมื่อมีภาวะร่างกายขาดน้ำ อาจทำให้ผิวหนังดูหมองคล้ำและเห็นริ้วรอยรอบดวงตาชัดขึ้น
  7. ใต้ตาคล้ำจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและถี่เกินไป สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวหนังโดยรวม และผิวหนังบริเวณใต้ตาก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา

วิธีป้องกันขอบตาดำ

วิธีป้องกันขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ เพื่อให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดมีหลากหลายวิธี ดังนี้

  1. การพักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน และพยายามเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา
  2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาระดับความชุ่มชื้นของร่างกายด้วยการดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน
  3. ปกป้องผิวจากแสงแดด โดยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงบริเวณรอบดวงตา และสวมแว่นกันแดดเมื่อต้องออกแดด
  4. หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หากมีอาการคันตา ควรใช้น้ำตาเทียมหรือปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษา
  5. ดูแลสุขภาพโดยรวม เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  6. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตา เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนรอยคล้ำ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเป็นประจำ
  7. ใช้เมคอัพปกปิดรอยคล้ำใต้ตา

วิธีแก้ปัญหาขอบตาคล้ำ ใต้ตาลึก ฉบับเร่งด่วน

นอกจากการดูแลหรือป้องกันตามวิธีข้างต้นแล้ว เรายังมีการแก้ไขปัญหาขอบตาคล้ำ ใต้ตาลึก ฉบับเร่งด่วน ซึ่งสามารถทำได้โดยวิธีทางการแพทย์ ดังนี้

1. โปรแกรมฉีดเมโส
การฉีดเมโส (Mesotherapy) มีส่วนผสมของวิตามินและสารบำรุงผิวต่างๆ ช่วยให้ผิวใต้ตากลับมาแข็งแรงและแลดูสว่างขึ้นได้ไวกว่าการทาครีมบำรุงทั่วไป

2. โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการแก้ไขปัญหาร่องใต้ตาและขอบตาคล้ำที่เกิดจากการยุบตัวของไขมัน การฉีดฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปเติมเต็มบริเวณใต้ตาจะช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูขึ้น ร่องลึกดูตื้นขึ้น และเงาคล้ำดูลดลง ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานตั้งแต่ 6-24 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการดูแลหลังฉีด เช่น

  • Teoxane รุ่น Redensity 2 เป็นฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดใต้ตาโดยเฉพาะ เพื่อแก้ไขปัญหาร่องใต้ตาลึกหรือขอบตาคล้ำ เนื้อฟิลเลอร์มีความเนียนไปกับผิวได้ดี ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-24 เดือน
  • Restylane รุ่น Vital Light เป็นรุ่นใช้เก็บรายละเอียดของผิวชั้นตื้นได้ดีมาก จึงเหมาะแก่การนำมาฉีดบริเวณใต้ตา ผลลัพธ์ที่ได้จะมีความเนียนไปกับผิว ไม่เป็นลำเป็นก้อน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • Yvoire กล่องเขียวรุ่น Classic Plus เหมาะสำหรับการเติมเต็มผิวชั้นบน เพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยเล็กๆ และเพิ่มความชุ่มชื้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-9 เดือน
  • Belotero Revive ฟิลเลอร์งานผิวที่สามารถฉีดได้ทั่วหน้า และบริเวณรอบดวงตา ส่งผลให้ผิวโกลว์เล่นแสง อยู่ได้นาน 6-9 เดือน

3. โปรแกรมฉีด Juvelook
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้ในการฟื้นฟูผิวบริเวณใต้ตา เพราะ Juvelook เป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบหลักคือ PDLLA (Poly D,L-Lactic Acid) และ HA (Hyaluronic Acid) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาเฟิร์มกระชับขึ้น และความคล้ำใต้ตาดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ

4. การทำเลเซอร์ (Laser)
เพื่อปรับสภาพผิวรอบดวงตา การรักษาด้วยเลเซอร์บางชนิดสามารถช่วยลดรอยคล้ำใต้ตา ที่เกิดจากเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไป หรือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดความหย่อนคล้อยและร่องลึกได้

สรุป ควรเลือกวิธีไหนดี ?

ปัญหาขอบตาคล้ำ ขอบตาดำ และใต้ตาลึกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและบรรเทาปัญหาเบื้องต้น แต่สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจนขึ้น หัตถการทางการแพทย์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

ซึ่งการเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาขอบตาคล้ำและใต้ตาลึกนั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหา ความรุนแรงของปัญหา และความต้องการของแต่ละบุคคล การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะช่วยให้เราได้รับคำแนะนำและวิธีแก้ไขทีมีประสิทธิภาพที่สุด

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย

Juvelook คืออะไร? เหมาะกับใคร? ฟื้นฟูผิวกระตุ้นคอลลาเจนแบบไหน?

Juvelook คืออะไร? เหมาะกับใคร? ฟื้นฟูผิวกระตุ้นคอลลาเจนแบบไหน?

หัตถการงานผิวหรือการฟื้นฟูผิวเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน และ Juvelook ก็เป็นงานผิวตัวใหม่ส่งตรงจากเกาหลี ประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องความฉ่ำและชุ่มชื้นของผิว อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบ 2 in 1 เหมาะสำหรับผู้ต้องการดูแลผิวแบบเร่งด่วน

Juvelook คืออะไร

Juvelook คือ Hybrid Biostimulator เป็นตัวกระตุ้นคอลลาเจนโดยมีส่วนผสมของ PDLLA (Poly D,L-Lactic Acid) และ HA (Hyaluronic Acid) ทำให้ Juvelook มีจุดเด่นในด้านการเติมเต็มหลังฉีดทันที และสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในระยะยาวได้ ส่งผลให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องพักฟิื้น

Juvelook ช่วยอะไร

การฉีด Juvelook เป็นการฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาสภาพผิวได้หลายอย่าง ดังนี้

  1. การฉีด Juvelook ช่วยให้ริ้วรอยขนาดเล็กแลดูจางลง
  2. การฉีด Juvelook ช่วยเติมเต็มร่องใต้ตาและฟื้นฟูริ้วรอยร่องลึกต่างๆ ให้ดูตื้นขึ้น
  3. การฉีด Juvelook ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว เพื่อให้ผิวมีความกระชับขึ้น
  4. การฉีด Juvelook ช่วยให้รูขุมขนกระชับ เรียบเนียนขึ้นได้
  5. การฉีด Juvelook เป็นการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  6. การฉีด Juvelook ช่วยลดปัญหารอยสิวที่เกิดขึ้น
  7. การฉีด Juvelook ช่วยฟื้นฟูปัญหาผิวที่ถูกทำร้ายจากมลภาวะต่างๆ
  8. การฉีด Juvelook ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น

Juvelook เหมาะกับใคร

Juvelook เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดังนี้

  1. ผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา ร่องแก้ม หน้าผาก มุมปาก และอื่นๆ
  2. ผู้ที่ต้องการการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว
  3. ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดความกระชับ รูขุมขนกว้างเล็กน้อย
  4. ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งขาดน้ำ ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  5. ผู้ที่มีจุดด่างดำ และรอยต่างๆ ที่เกิดจากสิว
  6. ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้ดูเนียนใสขึ้น
  7. ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดีขึ้น
  8. ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว

Juvelook ฉีดจุดไหนได้บ้าง

การฉีด Juvelook สามารถทำได้หลายตำแหน่ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีปัญหา เช่น

  1. ฉีดทั่วใบหน้า เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวมีความกระชับ อิ่มฟู
  2. ฉีดบริเวณใต้ตา เพื่อช่วยให้ใต้ตาสว่างขึ้น ลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา
  3. ฉีดบริเวณตีนกาหรือร่องน้ำตา เพื่อให้ผิวมีความเรียบเนียน ริ้วรอยดูจางลง
  4. ฉีดบริเวณหน้าแก้ม เพื่อเพิ่มความแน่นของรูขุมขนให้กระชับขึ้น
  5. ฉีดบริเวณที่มีปัญหาหลุมสิว เนื่องจากมีการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินเพื่อฟื้นฟูหลุมสิว
  6. ฉีดบริเวณหน้าผาก ให้ผิวมีความกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้น
  7. ฉีดบริเวณหน้าเฉพาะจุด ตามที่แพทย์ประเมิน

Juvelook กี่ครั้งเห็นผล

การทำ Juvelook ให้เห็นผลจะขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล

  1. ในเคสที่มีปัญหาริ้วรอยเล็กๆ ผิวแห้งขาดน้ำ หรือใต้ตาคล้ำ สามารถใช้ Juvelook 1 ขวด หรือการฉีด 1 ครั้งเพื่อแก้ปัญหาได้
  2. สำหรับเคสที่มีริ้วรอยชัดเจน หลุมสิว รูขุมขนกว้าง และปัญหาผิวอื่นๆ สามารถใช้ Juvelook 2-3 ขวด เพื่อแก้ปัญหา โดยการฉีดครั้งละ 1 ขวด ต่อเนื่องกัน 2-3 ครั้ง

Juvelook อยู่ได้กี่เดือน

การคงอยู่ของผลลัพธ์การทำ Juvelook จะเริ่มกระตุ้นคอลลาเจนไปเรื่อยๆ ซึ่งจะแบ่งได้ตามระยะเวลา ดังนี้

  1. หลังทำทันที Juvelook จะช่วยเติมเต็มและเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว เพราะมีอนุภาคของ HA สำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ หลังฉีดจะดูสดใสขึ้น
  2. หลังทำ 2-4 สัปดาห์ สารของ PDLLA จะเริ่มกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว เพิ่มความอิ่มฟู ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
  3. หลังทำ 6 เดือน เมื่อคอลลาเจนในผิวถูกกระตุ้นและมีปริมาณมากขึ้น จะช่วยให้รูขุมขนดูกระชับ ในกรณีของผู้มีปัญหาหลุมสิวจะช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน

การดูแลหลังทำ Juvelook  

หลังฉีด Juvelook มีวิธีปฏิบัติดังนี้

  1. 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีด ควรงดการแต่งหน้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  2. 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อน
  3. งดกด นวด หรือถู บริเวณที่ทำหัตถการ เพื่อไม่ให้ตัวยาที่ฉีดไปมีการเคลื่อนตัวไปยังจุดอื่นที่ไม่ต้องการ
  4. สามารถทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงๆ เพื่อเสริมปราการให้ผิวได้

ราคา Juvelook แพงไหม?

ราคา Juvelook ที่ Kalm Clinic มีดังนี้

  1. Juvelook 4CC 9,999.-
  2. ซื้อ 2 เซต (8CC) รับฟรี 2CC

สรุป

Juvelook เป็นตัวกระตุ้นคอลลาเจนประเภท Hybrid Biostimulator ที่มีทั้ง HA และ PDLLA ในตัว ช่วยให้ผิวมีความอิ่มฟู ดูเต็มขึ้นหลังจากการฉีด และสามารถกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินจากภายในไปเรื่อยๆ ช่วยให้ผิวมีความกระชับ กระจ่างใสขึ้นจากเดิม ริ้วรอยต่างๆ ก็ดูลดลง

Kalm Clinic มีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำปรึกษาฟรี คลิกเพื่อติดต่อได้เลย