XERF ถือเป็นเครื่องยกกระชับใหม่ๆ ในประเทศไทย ทำให้ผู้คนอาจยังไม่รู้จักมากนัก ในบทความนี้จึงรวบรวมคำถามและสิ่งที่ต้องรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ XERF...
Sculptra และ Profhilo ตัวกระตุ้นคอลลาเจนต่างกันอย่างไร ทำคู่กันดีไหม
Sculptra และ Profhilo ตัวกระตุ้นคอลลาเจนต่างกันอย่างไร ทำคู่กันดีไหม
การฉีด Sculptra เป็นที่นิยมกันทั่วโลก เนื่องจากตัวยาสามารถกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิาภาพ แต่ปัจจุบันมีน้องใหม่อย่าง Profhilo เข้ามาเสริม ทำให้ผู้คนเปรียบเทียบทั้ง 2 ตัวมากขึ้น ในบทความนี้จะมาทุกคนมาทำความรู้จักตัวกระตุ้นคอลลาเจนอย่าง Sculptra และ Profhilo ว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร หากทำคู่กันแล้วผลลัพธ์จะน่าพอใจหรือไม่
Sculptra และ Profhilo คืออะไร
Sculptra
Sculptra เป็น Biostimulator ตัวแรกของโลก ที่มีส่วนประกอบเป็น PLLA (Poly-L-Lactic acid) ในรูปแบบผง ต้องนำมาผสมกับ Sterile Water ให้อยู่ในรูปแบบน้ำจำนวน 10CC สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากใต้โครงสร้างผิวไปเรื่อยๆ ส่งผลให้คุณภาพผิวดีขึ้น ยกกระชับ เต่งตึง และอิ่มฟู เนื่องจากมีคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า 25 เดือน
Profhilo
Profhilo เป็น Bio-Remodelling หรือสารฟื้นฟูคุณภาพของโครงสร้างผิวในทุกชั้น ในรูปแบบตัวยา 2CC เป็น HA ชนิดพิเศษ ช่วยปรับโครงสร้างและฟื้นฟูผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รักษาความหย่อนคล้อยของผิว ทำให้ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยต่างๆ ก็ดูจางลง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และซ่อมแซมผิวด้านบน เริ่มเห็นผลในช่วง 1 เดือน และจะเห็นผลเต็มที่ในระยะ 2 เดือน อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
Sculptra และ Profhilo ช่วยแก้ปัญหาอะไร
Sculptra
Sculptra ช่วยฟื้นฟูผิวหนังชั้นลึก เพื่อปรับโครงสร้างให้ผิวกลับมาแข็งแรง ดังนี้
- เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวมีความอิ่มฟู
- ยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย ทำให้ผิวเด้ง เต่งตึง
- รูขุมขนเล็กลง ผิวเนียนขึ้น
- เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว และลดการเกิดริ้วรอย
- ช่วยให้ผิวดูอ่อนวัยขึ้น
- เพิ่มวอลลุ่มให้ผิว
การฉีด Profhilo จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูโครงสร้างทุกชั้นผิว ทำให้เห็นผลดังนี้
- ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ
- ปรับปรุงความยืดหยุ่นและความกระชับของผิว
- ฟื้นฟูรอยแผลเป็นจากสิวหรือการบาดเจ็บ
- ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีขึ้น
- เพิ่มความชุ่มชื้น
Sculptra และ Profhilo ทำคู่กันดีอย่างไร
เนื่องจากทั้ง 2 ตัวยามีการทำงานคนละแบบกัน Sculptra เน้นที่โครงสร้างผิวชั้นลึก เพิ่มความหนาแน่นให้ผิว ส่วน Profhilo สามารถฉีดในผิวชั้นตื้นได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในทุกชั้นผิว รวมถึงการเพิ่มความชุ่มชื้น หากฉีดคู่กันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษามากขึ้น ทำให้ผิวมีวอลลุ่มมากขึ้น อีกทั้งได้คุณภาพผิวที่ดูมีสุขภาพดีขึ้น เพราะ Profhilo จะช่วยเติมเต็มในส่วนที่ Sculptra ไม่สามารถนำตัวยาเข้าไปได้
หรือเหมาะกับผู้ที่เคยฉีด Sculptra ครบตามปริมาณที่แนะนำแล้ว ผิวมีความกระชับและแน่นเด้ง สามารถฉีด Profhilo เข้าไปเพิ่มได้ หากต้องการฟื้นฟูผิวอย่างต่อเนื่อง
สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง
Sculptra ส่วนใหญ่นิยมฉีดบริเวณด้านข้างของใบหน้า เพื่อให้มีความยกกระชับขึ้น พร้อมเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิวในระยะยาว
- บริเวณขมับ เพื่อแก้ปัญหาขมับตอบ ยกหางตาและคิ้วให้กระชับ ดูสดใสขึ้น
- บริเวณหน้าแก้ม เพื่อให้ผิวมีแน่น อิ่มฟู และเต่งตึงขึ้น พร้อมลดริ้วรอยร่องลึกต่างๆ
- บริเวณกรอบหน้า เพื่อกระชับผิวบริเวณกรอบหน้า ทำให้มีความคมชัดและไม่หย่อนคล้อย
Profhilo สามารถฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ ดังนี้
- บริเวณใบหน้า เป็นจุดที่นิยมฉีดมากที่สุด ซึ่งแพทย์จะทำการฉีด Profhiolo บริเวณโหนกแก้ม ร่องแก้ม ข้างจมูก มุมปาก และขากรรไกรล่าง โดยจิ้มแค่ 5 จุดต่อใบหน้า 1 ข้าง
- บริเวณลำคอ เมื่อผิวเกิดการเสื่อมคอลลาเจน จะทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ การฉีดจุดนี้จะทำให้ริ้วรอยเล็กๆ บริเวณลำคอดูจางลง
Sculptra และ Profhilo ต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างของ Sculptra และ Profhilo ที่เห็นได้ชัดเจนคือส่วนผสม รูปแบบของตัวยา และการทำงาน แบ่งได้ตามหัวข้อดังต่อไปนี้
1. ส่วนประกอบ
Sculptra: PLLA (Poly-L-Lactic acid) สารที่สังเคราะห์จากพืช นิยมใช้ในแวดวงการแพทย์ มีความปลอดภัยสูง
Profhilo: HA (Hyaluronic Acid) ความเข้มข้นสูง เกิดจากการเชื่อมพันธะ มีความบริสุทธิ์สูง
2. การทำงาน
Sculptra: กระตุ้นคอลลาเจนบริเวณผิวชั้นลึก เน้นที่โครงสร้างภายใน
Profhilo: กระตุ้นคอลลาเจนทุกชั้นผิว
3. การแก้ไขปัญหาผิว
Sculptra: แก้ปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ให้ผิวกลับมาเตงตึง ยกกระชับ เพิ่มความแน่นให้แก่ผิว
Profhilo: เพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูสภาพผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ
4. จำนวนครั้งที่ควรฉีด
Sculptra: ควรฉีดตามปริมาณที่แพทย์แนะนำ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอายุของแต่ละบุคคล เช่น อายุ 30 ปี ควรฉีด 2-3 ขวด, อายุ 40 ปี ควรฉีด 3-4 ขวด
Profhilo: ควรฉีดอย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป เพื่อการฟื้นฟูผิวอย่างต่อเนื่อง
5. ระยะเวลาของผลลัพธ์
Sculptra: เริ่มเห็นผลในระยะ 3 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นร่างกายจะกระตุ้นคอลลาเจนไปเรื่อยๆ อย่างลงตัว เห็นผลชัดเจนในช่วง 3 เดือน และอยู่ได้นานกว่า 25 เดือน *ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองและสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
Profhilo: เริ่มเห็นผลในช่วง 1 เดือนแรกหลังฉีด และเห็นผลชัดเจนในระยะ 2 เดือน อยู่ได้นาน 6-12 เดือน *ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองและสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
6. ผลข้างเคียงที่พบบ่อย และไม่อันตราย
Sculptra: อาจมีตุ่มเล็กๆ หรืออาการบวมบริเวณที่ฉีด สามารถหายเองได้
Profhilo: มีรอยแดงหลังจากฉีด สามารถหายเองได้
สรุป
การทำ Sculptra และ Profhilo คู่กัน ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวทุกชั้น ไม่ว่าจะเป็นหารเพิ่มความหนาแน่น กระชับ หรือการเพิ่มความชุ่มชื้น ลดความหย่อนคล้อย ลดริ้วรอย เนื่องจากการทำงานของทั้งคู่เป็นคนละแบบจึงสามารถฉีดร่วมกันได้ ซึ่งการเห็นผลของ Sculptra จะอยู่ได้นานกว่า 25 เดือน และ Profhilo อยู่ได้นาน 6-12 เดือน



































